วันอาทิตย์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2560

หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง (โกนเกล้าเข้าบวช)


โกนเกล้าเข้าบวช

     วิถีชีวิตมนุษย์ในโลกนี้ บางทีก็เป็นไปตามที่ต้ังใจจะเป็น บางทีก็เป็นไปตามกำลังกระแสของโลก เหมือนดังคำภาษิตจีนที่ว่า "มนุษย์ทำ แต่ฟ้ากำหนด"  หมายความว่า มนุษย์มุ่งมาดปรารถนาสิ่งใดนั้น มักจะพบอุปสรรคขวากหนามกางกั้นจนต้องประสบความล้มเหลวมามากต่อมาก จึงพากันเห็นว่า สุดแล้วแต่บุญวาสนา หรือพรหมลิขิตดังนี้เป็นต้น  ทั้งนี้มนุษย์มีความมุ่งมาดปรารถนาในสิ่งอันเกินกว่าสติปัญญา ความสามารถของตน  หรือเกินกว่าพื้นฐาน สิ่งแวดล้อมในชีวิตจะอำนวยให้เป็นไปดังปรารถนาก็เป็นได้  แต่ถ้ามุ่งมาดปรารถนาในสิ่งที่พอเหมาะแก่กำลังความสามารถของตนแล้ว ก็มักจะสมปรารถนาทุกคน

     ชีวิตหลวงพ่อแช่ม  เป็นตัวอย่างอันดีในเรื่องนี้  หลวงพ่อแช่มเกิดมาในครอบครัวชาวนาที่ยากจน  อยู่ในชนบทที่ห่างไกลความเจริญ ขาดการศึกษาศิลปวิทยาการทุกอย่าง  ชีวิตเหมือนธุลีน้อยที่ล่องลอยไปตามกระแสลม ไร้กำลังภายนอกภายในที่จะนำพาสู่สิ่งที่เรียกว่า ความสุข ความเจริญความรุ่งเรืองในชีวิต   หลวงพ่อแช่มก็ดูเหมือนจะยอมรับรู้ในสภาพของตนตั้งแต่เกิดมา  ยอมรับสภาพความยากจน เช้าก็เลี้ยงวัวเลี้ยงควาย ไล่นกจับปลาไปตามประสา  ชีวิตดูไร้จุดหมายปลายทางและไม่ได้มุ่งมาดปรารถนาอะไร จนกระทั่งอายุย่างเข้า ๑๔-๑๕ ปี จึงออกจากบ้านสัญจรร่อนเร่เที่ยวขอทานเขาไป การท่องเที่ยวขอทานไปต่างบ้านต่างเมืองนี้เป็นเหมือนวิทยาลัยโลกที่หลวงพ่อแช่มได้ศึกษาชีวิตมนุษย์ เกิดความรู้สึกนึกคิดว่า ชีวิตของตนควรจะดำเนินไปในทางใด  จนอายุ ๑๙ ปี ก็ปลงตกว่า ชีวิตนี้อยากจะบวชเรียนอยู่ในพระพุทธศาสนา  วิถีชีวิตเช่นนี้จะเรียกว่าหลวงพ่อแช่มเป็นผู้กำหนดเอง หรือจะว่าเหตุการณ์แวดล้อมช่วยกำหนดแนวทางชีวิตให้ ก็อาจพูดได้ว่าเป็นทั้งสองอย่าง  
     หลวงพ่อแช่ม ไปหมกมุ่นเล่นการพนันอยู่พักหนึ่ง ระยะเวลาประมาณปีครึ่ง แต่มิได้ปล่อยใจให้ลุ่มหลงเกินเลยไปไกลนัก ส่วนลึกของหัวใจยังไม่ลืมความตั้งใจเดิมที่จะบวชเมื่ออายุครบบวช  เผอิญเหตุการณ์สมัยนั้นช่วยส่งเสริม เนื่องจากการเล่นพนันน้ันจะมีอยู่เฉพาะฤดูแล้ง  พอย่างเข้าเดือนหก ฝนเริ่มตก บ่อนการพนันก็หยุดพัก หลวงพ่อแช่มจึงหยุดการเล่นพนันลงในเดือนหกฝนตกใหม่นี้เหมือนกัน
     
     

วันพุธที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2560

หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง ( บทนำ )



๑. บทนำ

     
     หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง  เป็นพระภิกษุที่มีชื่อเสียงโด่งดังรูปหนึ่งในเมืองไทย  เมื่อสมัย  ๓๐ ปีล่วงมาแล้ว   มีผู้คนไปหาท่านมาก  ผู้คนเหล่านั้นไปจากจังหวัดใกล้ไกลทั่วไป  มีท้ังพ่อค้า  ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และพลเรือน  คุณหญิงคุณนาย นักแสวงโชคลาภ  พากันไปกราบไปขอของดีท่่านท้ังน้ัน  แม้ในเวลานี้ท่านจะล่วงลับไปแล้วเกือบ  ๓๐ ปีก็ยังมีคนกล่าวขวัญถึงท่านอยู่  เหรียญทองแดงรูปของท่านก็ยังมีนักเลงสะสมพระเครื่องแสวงหา  แต่นักค้าพระะเครื่องก็ทำเทียมขึ้นใหม่   จนไม่มีใครทราบว่าของจริงของเทียมต่างกันอย่างไร  ฟังๆดูคนที่พูดถึงหลวงพ่อแช่ม  ก็ต่างคนต่างรู้ไปคนละอย่างสองอย่าง   ทั้งๆที่บางคนไม่เคยเห็นหน้าค่าตาของท่าน  เรืองราวของหลวงพ่อแช่ม  จึงฟังดูสับสนเหมือนนิยาย  นานเข้าก็คงลบเลือนไปด้วยไม่มีผู้ใดเขึยนไว้เป็นหลักฐาน

     เหตุที่ไม่มีคนเขียนประวัติหลวงพ่อแช่มไว้  ก็คงจะเป็นด้วยเหตุผล  ๒ ประการ  

     ประการแรก    คนที่รู้จักหลวงพ่อแช่มจริงๆ  ก็เขียนหนังสือให้คนอ่านไม่ได้   เพราะเป็นชาวบ้านธรรมดา   หนังสือหนังหาก็ไม่สันทัด  เพราะวัดตาก้องที่หลวงพ่อแช่มอยู่น้ันเป็นวัดชนบทบ้านนอก  คนที่อ่่านออกเขียนได้น้ันก็มีอยู่มากหรอก  แต่คนที่พอจะเขียนหนังสือไว้ให้คนอ่านกันน้ัน   ดูเหมือนยังไม่มี  ลูกศิษย์ลูกหาหลวงพ่อแช่มที่รู้เรืองหลวงพ่อแช่มดี  ก็อยู่ในจำพวกนี้  เรื่องราวของหลวงพ่อแช่มจึีงยังไม่มีใครเขียนไว้ให้คนอ่านกันเลย

     ประการที่สอง   คนที่พอจะเขียนหนังสือให้คนอ่านได้  ก็ไม่มีใครรู้จักหลวงพ่อแช่มจริง ก็เพียงแต่ได้ยินเขาเล่าว่า  ต่อไปภายหน้า  ถ้าหากใครนึกสนุกอย่ากจะเขียนประวัติหลวงพ่อแช่มขึ้นขายกิน  ก็คงจะต้องนั่งหลับตายกเมฆเอาตามใจชอบ  ประวัติหลวงพ่อแช่มก็คงจะเกิดมีขึ้นในบรรณโลก  แต่ไม่ใช่ประวัติหลวงพ่อแช่ม วัดตาก้ององค์นี้  แต่เป็นหลวงพ่อในฝันของนักประพันธ์  เพราะคงจะมีเรื่องแต่งเดิมเสริมเอาตามคำคนที่ชอบเล่าเรืองอะไรให้วิจิตรพิศดารโลดโผนโจนทะยานไปได้มากกมาย

     ส่วนข้าพเจ้าเองน้้นอยู่ในระหว่างคนสองจำพวกนี้  คือ รู้จักหลวงพ่อแช่ม ดีพอสมควร จึงได้อาสาเข้ามาเขียนเรืองหลวงพ่อในคร้ังนี้ ถึงแม้ข้าพเจ้าจะมิได้เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อแข่ม แต่ข้าพเจ้าก็เป็นเด็กวัดตาก้อง  ได้เคยไปมาหาสู่คุ้นเคยกับหลวงพ่อแช่มมาตั้งแต่ข้าพเจ้ายังเป็นเด็กวัด  จนออกมารับราชการเป็นหนุ่มใหญ่แล้ว  เคยได้รู้ได้เห็น เคยได้ยินได้ฟังเรืองราวของท่านมามาก  ทั้้งจากปากคำของคนอื่น และปากคำของท่านเอง  เคยได้ยินท่านเล่าประวัติส่วนตัวของท่านให้ฟัง เคยได้อ่านตำหรับตำราของท่าน เคยเห็นท่านไปทำนา  เคยเห็นทำเกวียน  เคยไปเที่ยวไร่เที่ยวนาของท่าน  เคยเห็นสระใหญ่ที่ท่านขุดไว้ชายน้ำ  เคยเห็นวัวฝูงใหญ่ของท่าน  เคยเห็นแม้กระทั่งวันที่ท่านมรณภาพ  วัวฝูงนั้นนอนคางตีกินน้ำตาไหลก็เคยเห็น  เพราะฉนั้นเรื่องราวที่ข้าพเจ้าจะเล่าต่อไป  ก็คิดว่าคงใกล้ความจริงที่สุด  เรื่องหลวงพ่อแช่ม  ที่จะเล่าต่อไปนี้ก็คงเป็นหลวงพ่อแช่มอองค์เก่า  ไม่ใช่หลวงพ่อแช่มองค์ใหม่  ที่จะต่อเดิมเสริมแต่งเอาตามความพอใจ

     แต่แน่อน เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้  ก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องพิลึกพิลั่นอยู่บ้าง  เพราะหลวงพ่อแช่มน้ันท่านไม่ใช่พระภิกษุธรรมดาสามัญ  ท่านเป็นพระพิลึกพิลั่น  จริยาวัตรของท่านชอบกลอยู่เหมือนกัน  เพราะฉนั้นถ้าท่านอ่าานไปได้พบเรืองพิลึกๆ อยู่บ้าง  ก็ขอได้โปรดอย่าเข้าใจว่าข้าพเจ้าแต่งเติมเสริมต่อให้เป็นเรื่องสนุกสนานเกินความจริงอะไรเลย  ข้าพเจ้าเขียนตามทีได้รู้ได้เห็นได้ยินได้ฟังมาทั้งสิ้น   แม้จะไม่ได้เห็นมาเองกับตา  ข้าพเจ้าก็ได้ยินหลวงพ่อแช่มท่านเล่าให้ฟัง  ส่วนท่านจะคิดอย่างไรก็แล่วแต่ใจท่าน

     อีกอย่างหนึ่ง   ท่านผู้อ่านที่มีการศึกษาใหม่  หรือแม้แต่ท่านผู้ทรงคุณวุฒิเป็นมหาเปรียญมีทัศนะคติว่าพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา  ว่าควรจะมีศีลาจารวัตรอย่างนั้นอย่างนี้  มีวินัยอย่างน้้นอย่างนี้ตามพระพุทธบัญญัติ เมื่อได้อ่านเรื่องราวของหลวงพ่อแช่ม  จะนึกตำหนิวา่นี่มิใช่พระภิกษุสงฆ์ในนิกายฝ่ายสยาม  ไม่ใช่เรื่องดีเรื่องงามควรจะเขียนไว้เป็นแบบอย่างอะไรทำนองนี้  ขอโปรดเข้าใจว่านี่เป็นเรื่องของพระภิกษุสงฆ์รูปหนึ่ง ซึ่งมีชีวิตอยู่ระหว่าง พ.ศ.๒๔๐๐ ถึง พ.ศ.๒๔๙๘  ในท้องถิ่นชนบทบ้านนอกแห่งหนึ่ง  พระภิกษุเช่นนี้ย่อมเกิดมาเหมาะสมกับสภาพบ้านเมืองท้องถิ่น  และเหมาะสมกับชีวิตจิตใจของชาวบ้านชาวเมืองในสมัยน้ันเป็นแน่นอน   ถ้าไม่มี่ดีอะไรอยู่แล้ว  ท่านก็คงจะไม่มีชื่อเสียงเป็นที่เคารพนับถือของคนจำนวนมากเช่นน้ัน   เปรียบเหมือนดอกไม่และผลไม้  ย่อมจะผลิดอกออกผลตามพืชตามพันธุ์  ต้นไม้ออกดอกออกผลผิดพืชผิดพันธุ์ไม่ได้ฉันใด  ภิกษุก็เป็นลูกของชาวบ้านย่อมจะเกิดมีขี้นพอดีพองาม  ได้ระดับกับชีวิตจิตใจชาวบ้านน้ันเสมอ   พระภิกษุที่ดีเลิศเกินระดับชาวบ้าน  ก็ย่อมจะอยู่ในท้องถิ่นน้ันไม่ได้   พระภิกษุที่ต่ำทรามกว่าระดับจิตใจชาวเมืองก็จะอยู่ในเมืองนั้นยาก  ฉันนั้น  หลวงพอแช่มเป็นพระภิกษุที่เกิดในสมัยหนึ่ง  อยู่ในชนบทหนึ่ง  ย่อมจะเหมาะสมกับชีวิตจิตใจของราษฎรสมัยน้ัน  ท้องถ่ิ่นน้ัน  ก็น่าจะถูกต้องเหมือนกัน  เราจะเชื่อถือได้อย่างไรว่ายุคเราสมัยเรา  ผู้คนจะเข้าใจหลักธรรมทางปฎิบัติในพระพุทธศาสนาดีกว่าคนในยุคหลวงพ่อแช่ม   ใครจะเป็นผู้ตัดสินชี้ขาดว่า  พระภิกษุอย่างหลวงพ่อแช่ม  กับมหาเปรี่ยญ ๙ ประโยคสมัยนี้ ใครจะดีมีประโยชน์แก่ชาติแะพระศาสนามากกว่ากัน  ข้ออ้างอย่างเด่นชัดประการหนึ่งก็คือ   หลวงพ่อแช่ม  ท่านบวชจนตายในผ้าเหลืองมีอายุุถึง   ๙๘ เศษ  มีคนเรียกหลวงพ่อทั้งเมือง  แต่มหาเปรียญผู้เปรื่องปราชย์ในทางปริยัติน้ันพากันสลัดผ้าเหลืองเปลืองผ้าลายไปวุ่นวายอยู่ในโลกีย์กันกี่มากน้อย

     ข้าพเจ้าคนหนึ่งละ  ที่ได้แลเห็นประวัติอันแปลกประหลาดพิศดารของท่านตลอดจนศีลาจารวัตรอันพิลึกพิกลของท่านว่าควรแก่การสนใจ   จึงได้อุตส่าห์เขียนเรื่องนี้ขึ้น   ข้าพเจ้าคิดว่าพระภิกษุอย่งหลวงพ่อแช่มนี่แหละ  เป็นประโยชน์ต่อชาติและพระศาสนา  อย่างน้อยก็ยุคนั้นสมัยน้ันอย่างแน่นอน  เพราะท่านบวชสืบต่ออายุพระพุทธศาสนาจนตายในผ้าเหลือง  ท่านเป็นที่พึ่งทา่งใจของผู้มีภัยได้ทุกข์จำนวนหนึ่ง   ชีวิตหลวงพ่อแช่มจึงควรนับว่าเป็น  "พระโพธิสัตว์"    ได้ปางหนึ่ง  เพราวามหมายของพระโพธิสัตว์น้ัน  คือ  สัตว์ที่เกิดมาเป็นที่พึ่งแก่ฝูงสัตว์  เมื่อหลวงพ่อแช่ม  ท่านเกิดมาเป็นทีพึ่งแก่ฝูงสัตว์ (อันหมายถึงมนุษย์ด้วย)   เช่นนี้  จึงนับว่าเป็นชีวิตที่น่าสนใจชีวิตหนึ่ง   ซึ่งสาธุชนควรใฝ่ใจใคร่ศึกษา  

     ชืวิตของคนเป็นเรื่องน่าสนใจท้ังน้ัน  แม้ชีวิตนั้นจะชั่วช้าต่ำทรามอย่างไรก็ตามที
     แต่ขีวิตพระดีอย่างหลวงพ่อแช่ม  น่าศึกษายิ่งกว่านั้น   



วันจันทร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2560

หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง (. ถิ่นกำเนิด )



. ถิ่นกำเนิด

     หลวงพ่อแช่ม  เป็นชาวตำบลตาก้อง บวชอยู่วัดตาก้อง  อันเป็นวัดที่มีอยู่วัดเดียวในตำบลนี้  เมื่อออกชื่อหลวงพ่อแช่มก็ต้องออกชื่อวัดตาก้องด้วย   และเมื่อออกชื่อวัดตาก้องก็มักจะมีคนถามว่าวัดหลวงพ่อแช่มใช่ไหม   คือชื่อหลวง่พ่อแช่ม ดังกว่าชื่อวัดนั่นเอง   อันที่จริงวัดตาก้องคงจะไม่มีชื่อเสียงโด่งดังจนใครๆรู้จักกัน  ถ้าไม่มีหลวงพ่อแช่ม  

     เพราะฉนั้นก่อนที่จะกล่าวถึงเรื่องราวของหลวงพ่อแช่ม  ก็ควรจะกล่าวถึงตำบลตาก้องอันเป็นพื้นภูมิลำเนาของท่านเสี่ยก่อน  เพื่อจะได้และเห็นสภาพพื้นฐานบ้านเกิดของท่านพอสมควร

     ตำบลตาก้อง  ตั้งอยู่ทางทิศเหนือสุดของอำเภอเมือง  จังหวัดนครปฐม  ห่างจากตัวเมืองนครปฐมไปประมาณ  ๘ กิโลเมตร  สภาพของตำบลตาก้อง เป็นทุ่งนาป่าละเมาอยูํ่ทั่วไป  มีหมู่บ้านราษฎรปลูกอยู่หนาแน่นในบริเวณใกล้เคียงวัดตาก้อง   เป็นหมู่บ้านกว้างใหญมีบ่้านเรือนอยู่หลายร้อยหลังคาเรือน   มีลำคลองซึงเป็นแม่น้ำโบราณไหลผ่านอ้อมหน้าวัดเป็นรูปคดคุ้งเหมือนเกือกม้า   วัดตาก้องต้ังอยู่ตรงคัุงแหลมนี้  หน้าวัดฝั่งข้ามคลองมีป่าช้าใหญ่มีป่าดงหนาทึบ  เป็นที่เหมาะแก่พระนักปฎิบัติออกไปนั่งบำเพ็ญภาวนากันในสมัยก่อน  ส่วนด้านหลังวัดน้ันมีบ้านเรือนราษฎรตั้งอยู่หนาแน่น   สมัยน้ันบ้านเรื่อนเป็นแบบเรือนไทยฝากระดานยอดแหลมเป็นส่วนใหญ่  แสดงถึงฐานะของราษฎรตำบลนี้ว่าเป็นปึกแผ่นแน่นหนาพอใช้  ราษฎรส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ  ๙๐ มีอาชีพทำนา   และมีนาเป็นของตนเอง  ไม่มีผู้เช่านาทำกี่ราย   ทีมีฐานะดีมีนามาก  ทำเองไม่หมดจึงให้ญาติพี่น้องกันเช่าท่ำ   การเช่าก็เช่ากันด้วยปาก   อาศัยความซื่อตรงต่อกันไม่ต้องมีสัญญายึดถืออะไร  ที่เหลืออยู่ก็ทำเองด้วย  เรียกว่าเป็นชาวนาจริงๆ  ไม่ใช่นายทุนคอยนั่งกินแต่ค่าเช่า  การทำไร่ปลูกผักพริกมะเขือ  แต่งไทย  แตงกวา ก็ทำคู่ไปกับการทำนาด้วย  คือทำที่หัวไรปลายนานั่นเอง   พึชผลยืนต้นอย่างอื่น  เช่น มะม่วง  มะพร้าว  ขนุน  น้อยหน่า นุ่น มะกอก  ก็มีปลูกันบ้างประปรายทั่้วไป  แต่ไม่ถึงแก่เป็นเรือกสวนเป็นขนัดใหญ่อย่างแถวบ้านสวน เรียกว่าปลูกไว้กินไว้ใช่  ไม่ใช่ปลูกไว้ขายเป็นสินค้า   นอกเขตวัดตาก้องออกไปมีบ้านเรือนราษฎรปลูกอยู่เป็นหย่อมๆ  ตามชายทุ่งนา  มีคนจึนมาปลูกโรงทำไร  ปลูกพืชผักผลไม้  เลี้ยงหมู  เลี้ยงเป็ด ค้าขายของชำอยู่ทั่วไป   แต่บ้านเรือนน้้นพอสังเกตุได้ว่าผิดกับบ้านคนไทย คือมักจะปลูกเป็นโรงอยู่กับพื่้นดิน  ไม่ยกพื้นมีใต้ถนสูงเหมือนบ้านไทย   แต่คนจีนที่มีฐานะดีบางคนหรือคนจีนที่ได้ภรรยาเป็นคนไทยก็มักจะปลูกเรือนฝากระดานยอดแหลมแบบไทย แต่มักจะมีขอบเขตบริเวณบ้านเป็นลานกว้าง   ใต้ถุนเรือนก็กั้นห้องทำฝาปิดไว้ทุกด้าน   ไม่ปล่อยใต้ถุนโล่งๆ ไว้เหมือนบ้านคนไทย   ไม่มีวัวมีเกวียนเหมือนบ้านคนไทย  เพราะคนจีนไม่นิยมทำนา  แต่คนจีนในชนบทน้้นมีความเป็นอยู่คลุกคลีสนิทสนมกับคนไทย    ชายจีนก็มักจะสมรสกับหญิงไทย   พอตกมาถึงรุ่นลูกก็กลายเป็นคนไทยไปหมด  ลูกชาวชาวจีนก็มักจะเข้าบวชเรียนในพระพุทธศาสนาแม้รูปร่างหน้าตาจะเป็นคนจีน   แต่ก็เป็นคนไทยไปโดยเร็ว   มีความใกล้ชิดสนิทสนากลมกลืนกับคนไทยเหมือนญาติพี่น้องกันทั่วไป   หลายตระกูลก็ได้รับราชการเป็นใหญ่เป็นโตไปก็มีมาก   ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นกำนัน   ผู้ใหญ่บ้านปกครองหมู่บ้านไปก็มี  ข้าพเจ้าเองก็มีญาติพี่น้องเป็นเชื่อสายจีนหรือลูกหลานจีนอยู่มาก  ไม่มีความรู้สึกแบ่งแยกว่าคนจีนคนไทยแต่อย่างไร    แม้คนจึนที่เป็นจีนแท้พูดไทยไม่ชัดก็ไปมาหาสู่กันในฐานะเพื่อนบ้านด้วยความใกล้ชิดสนิทสนม  เรืองชาตินิยมดูเหมือนจะยังไม่เกิดมีในชนบทบ้านนอกอย่างตำบลตาก้องนี้เลย

     ตำบลตาก้อง ในสมัยโบราณน้ัน ยังเป็นทุ่งนาป่าละเมาะอยู่มาก   ส่วนหนึ่งก็เป็นทุ่งนากว้างใหญ่  และสุดลูกหูลูกตา   มีข้าวปลาบริบูรณ์  เรียกว่าในน้ำมีปลาในนามีข้าวอย่างแท้จริง  หน้านาก็ไถ คราด หว่าน ดำ กันทั่่วไป  มองไปในทุ่งนา แลเห็นแต่คนกำลังทำนาและฝูงวัวควาย พอตกเดือนเก้าเดือนสิบ  ต้นข้าวก็เขียวชอุ่มเต็มท้องทุ่ง  น้ำท่าบริบูรณ์ อุดมไปด้วยผักบุ้ง  ผักกะเฉด สายบัว  ในน้ำก็อุดมไปด้วยปลาดุก ปลาช่อน  ปลาหมอ ไปลงเบ็ด ตกปลา พักหนึ่งก็ได้ขึ้นมาแกงกิน  ชายป่าก็มีหน่อไม้แทงยอดขึ้นมา  ผักตำลีง ผักกระถิน ผักหวาน ยังหากินได้อุดมไม่ต้องซื้อหา  ของที่ชาวนาจะต้องซือจากตลาดก็มีแต่กะปิ  น้ำปลา  ของแห่ง  และเสื้อผ้า  แม้แต่น้ำตาลก็มีผู้ทำน้ำตาลโตนด  เป็นน้ำตาลปึก  น้ำตาลหม้ออยู่ในตำบลน้ัน   ชั้นแต่ผ้าทอผ้าพื้นซึ่งเป็นผ้านุ่งโจงกระเบนของหญิงชาวนา  ก็มีทอกันเองด้วยหูกเกือนจะทุกบ้าน  ชีวิตของชาวนาสมัยน้ัน จึงมีความสุขสบายตามสมควรแก่อัตภาพ  ไม่อดอยากยากจนข้นแค้นอะไรนัก  เมือเด็กๆ ข้าพเจ้าเคยเดินไปโรงเรียนเวลาฝนตกเห็นปลาช่อน  ปลาหมอโดดแถกขึ้นมาบนถนนตัวโตๆ  ชาวบ้านเอาลอบเอาโซมาดักปลาซิว  ปลาสร้อย กินกันไม่หวาดไหว เอาไปตากแห้วทำปลาร้ากันกินไปตลอดปี  ข้าวก็ทำกันได้เหลือเฟือ  ใส่ยุ้งฉางเก็บไว้ครัวละหลายเกวียน  อย่างน้อยคนจนๆ  ก็มี่ข้าวพอกินไม่เดือนร้อน

     ตำบลตาก้อง  เข้าใจว่าจะตั้งเป็นหมู่บ้านตำบลมีราษฎรอาศัยอยู่มานานหลายร้อยปีแล้ว  เพราะตำบลนี้ต้ังอยู่ริมแม่น้ำโบราณสายหนึ่ง  ที่เรียกว่า แม้น้ำจระเข้สามพัน แม่น้ำอู่ทอง  แม่น้ำบ้านยาง  ตามลำดับ  แม่น้ำนี้เรียกชื่อต่างกันเป็นตอนๆ  ตามตำบลบ้านที่ผ่านไป  เมื่อท้าวอู่ทองมาต้ังบ้านเมืองอยูที่อำเภอกำแพงแสน  ตรงบริเวณค่ายลูกเสือปัจจุบันนี้  ก็ต้ังอยู่ริมแม้น้ำสายนี้  ตำบลตาก้องต้ังอยู่ริมแม่น้ำสายนี้สมัยโบราณ  เมื่อลำน้ำตื้นเขิน  เกิดอหิวาตกโรคหรือโรคห่าขึ้น ผู้คนล้มตายมาก  ท้าวอู่ทองต้องอพยพพาราษฎรไปอยู่อยุธยา บ้านเมืองราษฎรก็คงร่วงโรยไปคร้ังหนึ่งรวมท้ังตำบลตาก้องอันต้ังอยู่ปลายน้ำด้วย  ระยะเวลาที่กล่าวนี้ คือ ประมาณ พ.ศ. ๑๘๙๐

     ต่อมาเมื่อพ.ศ. ๒๐๘๖  สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ แห่งกรุงศรีอยุธยา ได้ทรงต้ังเมืองนครชัยศรีขึ้น  ตำบลตาก้องเป็นตำบลหนึ่งอยู่ในแขวงพระปฐมเจดีย์   เมืองนครชัยศรี  แสดงว่าบริเวณริมฝั่งแม่น้ำโบราณสายน้ันมีราษฎรต้ังบ้านเรือน ทำไร่ทำนาหนาแน่นขึ้น  แต่เมืองนครชัยศรีมีเขตติดต่อกับจังหวัดกาญจนบุรีและสุพรรณบุรี  เป็นบริเวณที่กองทัพพม่าเดินทัพผ่านและเข้ามาลาดตระเวณหาเสบียงข้าวปลาอาหารอยู่เสมอ บ้านเรือนผู้คนในท้องที่เหล่านี้จึงต้ังเป็นปึกแผ่นอยู่ได้ไม่นาน  บางคร้ังจึงถูกข้าศึกรบกวน ผู้คนอพพยหนีไป  บางคร้ังก็ตั้งอยู่ได้อย่างสงบสุขเป็นปึกแผ่น  ตำบลตาก้องจึงอาจจระรกร้างร่วงโรยไปตามกาลเวลาเมื่อบ้านเมืองมีศึก  เป็นบ้านเมืองว่างศึกสงคราม ก็คงมีราษฎรเข้ามาต้ังบ้านเรือนทำไร่นากันใหม่ เพราะบริเวณนี้เป็นที่ราบลุ่มมีบริเวณทุ่งนากว้างใหญ่  มีลำน้ำไหลผ่าน  เหมาะแก่การทำไร่นามาก  เมืองนครชัยศรีได้ชื่อว่่า  เป็นเมืองอุดมด้วยข้าวปลานาดีมาแต่โบราณกาล

     เมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๖  สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว หมื่นพรหมสมพัตศรี (มี)  กวีมีชื่อเสียงสมัยน้ัน ได้เดินทางไปนมัสการพระแท่นดงรัง  ที่เมืองกาญจนบุรี เส้นทางที่เดินทางไปพระแท่นดงรัง ต้องผ่านตำบลตาก้อง  หมื่อพรหมสมพัตศร (มี)  ได้พรรณาไว้ตอนหนึ่งว่า

     ข้ามห้วยหนอองคลองบึงถึงอ้อ         สกุณร้องรัญจวนถึงนวลหงษ์
พอโพล้เพล้เพลาจะค่ำลง                      ให้งวยงงง่วงเศร้าฤทัย
เสียงจักกะจั่นแจ้วแจ้วให้แว่วหวาด        หนาวอนาถนึกน่าน้ำตาไหล
ยะเยือกเย็นเส้นหญ้าพนาลัย                 วังเวงใจจรมาในราตรี
แล้วหยุดนอนในป่าเวลาดึก                   คะนึงนึกถึงน้องยิ่งหมองศรี
หักใบไม้ปูลาดกวาดธุลี                         กองอัคคีรอบเกวียนเวี่ยนระวัง
บ้างก็กินโภชนากระยาหาร                    ต่างสำราญสู่สมอารมณ์หวัง
บ้างหาร่มไม้ชิดให้ปิดบัง                       พอยับย้ังกายตามยามกันดาร
แต่ตัวพี่นอนกลางหว่างต้นไม้                ยกมือไหว้เทวาพฤกษาสาร
อย่าให้มีโภยภัยสิ่งใดพาน                     นมัสการแปดทิศแล้วนิทรา
จนดึกดื่นเดือนสว่างกระจ่างแจ้ง          จำรัสแสงส่องสอดยอดพฤกษา
น้ำค้างพรมลมว่าวหนาวอุรา                   พี่ห่มผ้าซ้อนผืนไม่ชื่นใจ
ไม่อุ่่นเหมือนแนบกายสายสวาทโศกโสยาสน์เกลือกกลับไม่หลับไหล
ลุกขึ้นนั่งหลังอิงแล้วผิงไฟ                  ได้ยินไก่เถือนขันสำคัญยาม
เสียงจิ้งหรีดกรีดกริ่งระหริ่งร้อง            เย็นสยองเยี่ยมย่างเข้ายามสาม
จนแสงทองส่องฟ้าสง่างาม                 เรืองอร่ามรุ่งรางสว่างวัน
ต่างคนตางก็ตื่นขึ้นพร้อมหน้า              แล้วรีบมาเร็วไวในไพรสัณฑ์
ระยะทางกลางไพรยังไกลครัน             แรมอรัญทุเรศสังเกตุมา
หนทางเกวียนเตียนโล่งคลอดลิ่ว          สะพรั่งทิวแถวไม้ไพรพฤกษา
ระบัดใบร่มรื่นพื้นสุธา                             ดาษดาดอกดวงก็ร่วงราย
บ้างทรงผลหล่นหนักอักขนิษฐ์             ไม่พักปลิดก็ได้ดังใจหมาย
ถ้าน้องมาเห็นจะพาพี่สบาย                  จะช่วนสายสุดที่รักให้ชมดง
ถ้าเหาะได้พี่จะกลับไปรับน้อง               มาชมท้องทุ่งนาป่าระหง
ยิ่งคิดถึงมิ่งมิตรจิตพะวง                        แทบจะปลงชีวาลีลาจร..."

     สมัยที่หมื่นพรหมสมพัตศร (มี)  เดินทางผ่านไปน้ันยังเรียกว่า  "บ้านอ้ายก้อง"   เรียกตามชื่อคนจีนคนหนึ่ง  ชื่อก้ง หรือก้อง จีนคนนี้เข้าไปต้ังโรงหีบอ้อยอยู่ในตำบลนี้  มีฐานะร่ำรวยมากคนผ่านไปมาก็รู้จักทั่วไป  จึงเรียกกนัว่าบ้านอ้ายก้อง

     สมัยรัชกาลที่ ๕ ได้จัดการปกครองมีอำเภอแมีตำบลขึ้น  จึงเปลี่ยนชื่อจากบ้านอ้ายก้อง เป็นตำบลตาก้อง
    ตำบลตาก้อง มี่วัดประจำตำบลอยุ่วัดหนึ่ง  เรียกตามชื่อตำบลว่า  วัดตาก้อง  มีคนในตระกูลที่สืบเชื่อสายมาจากจีนคนหนึ่ง   ชื่อปั้น  บั้นทรัพย์  มีอาชีพเป็นช่างทอง  ได้สร้างเจดีย์เป็นรูปปราสาท บรรจุประบรมธาตุไว้ที่วัดนี้  เรียกว่า  จุฬามณี  นายปั้น  บั้่นทรัพย์ ผู้นี้เมื่อยังมีชีวิตอยู่ไ่ว้ผมเปีย  มีบุตรชายชื่อ พ.ต.ต. พาสน์  พาสนยงภิญโญ   พ.ต. ต. พาสน์ มีบุตรชื่อ พล.อ. สัมผัส  พาสนยงภิญโญ  เป็นญาติวงศ์ทางฝ่ายมารดาของข้าพเจ้า

     วัดตาก้องมีสมภารปกครองวัดมาแล้วกี่รูปไม่ทราบ  แต่สมภารสมัยยายของข้าพเจ้าชื่อ หลวงพ่อเกริ่น  หลวงพ่อเกริ่นองค์นี้ได้สร้างวัดตาก้องให้เป็นปึกแผ่นขึ้น  มีอุโบสถก่อด้วยอิฐถือปูน  มีศาลาการเปรียญกว้างใหญ่  มีกุฎิสงฆ์เป็นเรือนฝากระดานยอดแหลมปลูกเรียงขนานกันสองแถว  มีแถวละ  ๔ หลัง  มีกุฎิหลวงพ่อเกริ่นปลูกสะกัดอยู่ทางทิศใต้  มีกุฎิหอสวดมนต์อยู่กลาง   ปรับปรุงบริเวณลานวัดราบเรียบ ถมด้วยทรายแลดูสะอาดตา  ปลูกต้นพิกุล ต้นแก้ว  หูกวาง  ไม่ไผ่ ลายประดับสวยงามร่มเย็น  สร้างสะพานข้ามคลองวัดตาก้อง  เป็นสะพานไม้ถาวรมี่ศาลาท่าน้ำอยู่ริมเชิงสะพาน  และตรงกลางสะพาน  ๒ หลัง เป็นที่สำหรับนั่งพักผ่อนดูน้ำชมปลาได  นับว่าเป็นวัดที่มีความม่ันคง  เป็นปีกแผ่น  และสงบร่มเย็นเป็นที่ภาคภูมิใจของชาวตำบลน้ัน เล่ากันว่าสมัยหลวงพ่่อเกริ่นเป็นสมภารนั้น  มีพระลูกวัดถึง  ๗๐-๘๐ รูปเสมอ  เพราะท่านเป็นสมภารอารมณ์ดี อัธยาศัยกว้างขวาง   ได้ยินข่าวว่าใครเจ็บป่วย  มีเรื่องเดือดร้อนท่านก็จะไปเยี่่ยมเยียนถามข่าวคราวจนถึงบ้าน  คนจึงเคารพนับถือท่านมาก
   
     สิ้นบุญสมภารเกริ่นแล้ว   สมภารกร่ายก็ได้ปกครองวัดต่อมา สมภารกร่ายองค์นี้เป็นญาติฝ่ายมารดาของข้าพเจ้า  แต่สมภารกร่ายหรือหลวงน้ากร่ายของข้าพเจ้านี้  สู้หลวงพ่อเกริ่นไม่ได้ เพราะท่านโมโหร้ายนัก สมัยน้ันนักเรียนประชาบาลอาศัยเรียนอยู่บนศาลาการเปรียญ เวลาหยุดพักกลางวัน  เด็กๆ ก็เล่นกันส่งเสียงเอะอะเกรียวกราวหนวกหู ท่านสมภารกร่างก็ลงจากกุฎิ ถือขวานวิ่งกวดนักเรียน  นักเรียนก็วิ่งหนีเป็นการสนุกแกมหวาดกลัว
     สมัยสมภารกร่ายนี้แหละ ที่หลวงพ่อแข่ม พระลูกวัดองค์หนึ่งของวัดตาก้องไปปลูกกุฎิเป็นโรงศาลามุงจากอยู่ทางทิศเหนือของโบสถุ์ ไม่ยอมลงโบสถ์ทำสังฆกรรมร่วมกับพระวัดตาก้อง เพราะท่านเป็นพระภิกษุที่มีอาวุโสสูงกว่าสมภาร  สมภารปกครองท่านไม่ได้  ท่านก็กลายเป็นพระพิเศษของวัดตาก้องไป  ประพฤติของท่านตามใจชอบ  ทำนา เลี้ยงวัว  ต่อเกวียน  ขุดบ่อของท่าน ไม่ได้อยํู่ในความปกครองของสมภารกร่าง  แต่ความประพฤติแปลกๆของท่านนี้ ไม่เป็นที่รังเกียจของคนทั้งหลาย   กลับมีคนขึ้นท่านมากมายจากต่างจังหวัดใกล้ไกล  จนชื่อเสียงของหลวงพ่อแช่มโด่งดังไปทั่ว  คนบ้านไกลเมืองไกลก็เข้าใจว่าท่านเป็นสมภารวัดตาก้อง  เรื่องราวของท่านน่าสนใจ  เชิญท่านอ่านต่อไป คงสนุกไม่แพ้นิยายหรอก 


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

วันจันทร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2560

หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง (คำนำ)




คำนำ
     
     ข้าพเจ้าต้ังใจเขียนประวัติหลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง  มานานแล้ว  ถึงแก่ได้รวบรวมเอกสารหลักฐานต่าๆ เตรียมไว้  เวลาผ่านมาหลายปีก็ไม่มีเวลาจะเขียนได้  จนเอกสารหลักฐานต่างๆ สูญหายไปหมดสิ้น  เหลือแต่ความทรงจำ ความรู้สึกก็เตือนให้อยากเขียนอยู่เสมอมา   ข้าพเจ้าจึงได้ลงมือเขียนเมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน  ๒๕๑๐  พอเดือนกรกฎาคมปีน้ันก็เขียนจบ  แล้วเก็บไว้อีกหลายปี
     
     เมื่อมีเวลาลองอ่านทบทวนดู  รู้สึกว่าเขียนย่อเกินไป  ไหนๆจะเขียนก็ควรเขียนให้ละเอียดสักหน่อย  ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจเขียนใหม่อีกครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่  ๑๗ มิถุนายน  พ.ศ.๒๕๑๖  เขียนบ้างหยุดบ้างจนจบเมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๗ รวมใช้เวลาเขียน  ๑ ปีเต็มพอดี จึงสำเร็จเป็นรูปเป็นเรื่องปรากฎอยู่นี้  นับว่าเรื่องหลวงพ่อแช่มนี้ใช้เวลาเขียนนานที่สุดเท่าที่เคยเขียนหนังสือมา  

     เรื่องที่ใช้เวลาเขียนนานเช่นนี้  จะดีหรือไม่  ขอท่านผู้อ่านได้โปรดพิจารณาวินิจฉันด้วยการติดตามอ่านให้จบก็แล้วกัน

     อาจารย์กุหลาบ  มัลลิกมาศ  เคยพูดให้ข้าพเจ้าฟังว่า   ชีวประวัติของบุคคลน้ันที่จริงก็ไม่ใช่ชีวิตอันแท้จริงของเจ้าของชีวประวัติ  แต่เป็นชีวประวัติของบุคคลที่นักเขียนปรุงแต่งขึ้นใหม่  หนังสือสารคดีเชิงประวัติศาสตร์น้ัน คือภาพพจน์ที่นักประพันธ์พยายามวาดภาพเหมือนให้เราอ่าน  ต่างคนต่างวาดรูปนั้นไม่เหมือนกันเลย  เพียงแต่ละม้ายแม้นกันเท่าน้ัน  เพราะคนเรามองอะไรไม่เหมือนกัน  คำกล่าวนี้เห็นจะใช้ได้กับเรื่องนี้เป็นแน่นอน

     เรื่องหลวงพ่อแชมนี้อาจไม่เหมือนหลวงพ่อแช่มตัวจริงเมื่อท่านมีชีวิตอยู่  เพราะช้าพเจ้ารู้จักหลวงพ่อแช่มไม่หมดทุกแง่ทุกมุม   ข้าพเจ้่าขอรับสารภาพไว้ ณ ที่นี้

     แต่ชีวิตหลวงพ่อแช่ม  เป็นชีวิตที่แปลกประหลาด น่าศึกษา  เหมือนนวนิยายเรื่องหนึ่งทีเดียว เว้นแต่ข้าพเจ้าจะไม่มีความสามารถที่จะบรรยายให้เห็นจริงได้ทั้งหมดเท่าน้ัน

                                             
                                                       เทพ    สุนทรศารทูล

                                                       ๑  พ.ค. ๒๕๑๙