
๑. บทนำ
หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง เป็นพระภิกษุที่มีชื่อเสียงโด่งดังรูปหนึ่งในเมืองไทย เมื่อสมัย ๓๐ ปีล่วงมาแล้ว มีผู้คนไปหาท่านมาก ผู้คนเหล่านั้นไปจากจังหวัดใกล้ไกลทั่วไป มีท้ังพ่อค้า ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และพลเรือน คุณหญิงคุณนาย นักแสวงโชคลาภ พากันไปกราบไปขอของดีท่่านท้ังน้ัน แม้ในเวลานี้ท่านจะล่วงลับไปแล้วเกือบ ๓๐ ปีก็ยังมีคนกล่าวขวัญถึงท่านอยู่ เหรียญทองแดงรูปของท่านก็ยังมีนักเลงสะสมพระเครื่องแสวงหา แต่นักค้าพระะเครื่องก็ทำเทียมขึ้นใหม่ จนไม่มีใครทราบว่าของจริงของเทียมต่างกันอย่างไร ฟังๆดูคนที่พูดถึงหลวงพ่อแช่ม ก็ต่างคนต่างรู้ไปคนละอย่างสองอย่าง ทั้งๆที่บางคนไม่เคยเห็นหน้าค่าตาของท่าน เรืองราวของหลวงพ่อแช่ม จึงฟังดูสับสนเหมือนนิยาย นานเข้าก็คงลบเลือนไปด้วยไม่มีผู้ใดเขึยนไว้เป็นหลักฐาน
เหตุที่ไม่มีคนเขียนประวัติหลวงพ่อแช่มไว้ ก็คงจะเป็นด้วยเหตุผล ๒ ประการ
ประการแรก คนที่รู้จักหลวงพ่อแช่มจริงๆ ก็เขียนหนังสือให้คนอ่านไม่ได้ เพราะเป็นชาวบ้านธรรมดา หนังสือหนังหาก็ไม่สันทัด เพราะวัดตาก้องที่หลวงพ่อแช่มอยู่น้ันเป็นวัดชนบทบ้านนอก คนที่อ่่านออกเขียนได้น้ันก็มีอยู่มากหรอก แต่คนที่พอจะเขียนหนังสือไว้ให้คนอ่านกันน้ัน ดูเหมือนยังไม่มี ลูกศิษย์ลูกหาหลวงพ่อแช่มที่รู้เรืองหลวงพ่อแช่มดี ก็อยู่ในจำพวกนี้ เรื่องราวของหลวงพ่อแช่มจึีงยังไม่มีใครเขียนไว้ให้คนอ่านกันเลย
ประการที่สอง คนที่พอจะเขียนหนังสือให้คนอ่านได้ ก็ไม่มีใครรู้จักหลวงพ่อแช่มจริง ก็เพียงแต่ได้ยินเขาเล่าว่า ต่อไปภายหน้า ถ้าหากใครนึกสนุกอย่ากจะเขียนประวัติหลวงพ่อแช่มขึ้นขายกิน ก็คงจะต้องนั่งหลับตายกเมฆเอาตามใจชอบ ประวัติหลวงพ่อแช่มก็คงจะเกิดมีขึ้นในบรรณโลก แต่ไม่ใช่ประวัติหลวงพ่อแช่ม วัดตาก้ององค์นี้ แต่เป็นหลวงพ่อในฝันของนักประพันธ์ เพราะคงจะมีเรื่องแต่งเดิมเสริมเอาตามคำคนที่ชอบเล่าเรืองอะไรให้วิจิตรพิศดารโลดโผนโจนทะยานไปได้มากกมาย
ส่วนข้าพเจ้าเองน้้นอยู่ในระหว่างคนสองจำพวกนี้ คือ รู้จักหลวงพ่อแช่ม ดีพอสมควร จึงได้อาสาเข้ามาเขียนเรืองหลวงพ่อในคร้ังนี้ ถึงแม้ข้าพเจ้าจะมิได้เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อแข่ม แต่ข้าพเจ้าก็เป็นเด็กวัดตาก้อง ได้เคยไปมาหาสู่คุ้นเคยกับหลวงพ่อแช่มมาตั้งแต่ข้าพเจ้ายังเป็นเด็กวัด จนออกมารับราชการเป็นหนุ่มใหญ่แล้ว เคยได้รู้ได้เห็น เคยได้ยินได้ฟังเรืองราวของท่านมามาก ทั้้งจากปากคำของคนอื่น และปากคำของท่านเอง เคยได้ยินท่านเล่าประวัติส่วนตัวของท่านให้ฟัง เคยได้อ่านตำหรับตำราของท่าน เคยเห็นท่านไปทำนา เคยเห็นทำเกวียน เคยไปเที่ยวไร่เที่ยวนาของท่าน เคยเห็นสระใหญ่ที่ท่านขุดไว้ชายน้ำ เคยเห็นวัวฝูงใหญ่ของท่าน เคยเห็นแม้กระทั่งวันที่ท่านมรณภาพ วัวฝูงนั้นนอนคางตีกินน้ำตาไหลก็เคยเห็น เพราะฉนั้นเรื่องราวที่ข้าพเจ้าจะเล่าต่อไป ก็คิดว่าคงใกล้ความจริงที่สุด เรื่องหลวงพ่อแช่ม ที่จะเล่าต่อไปนี้ก็คงเป็นหลวงพ่อแช่มอองค์เก่า ไม่ใช่หลวงพ่อแช่มองค์ใหม่ ที่จะต่อเดิมเสริมแต่งเอาตามความพอใจ
แต่แน่อน เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ ก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องพิลึกพิลั่นอยู่บ้าง เพราะหลวงพ่อแช่มน้ันท่านไม่ใช่พระภิกษุธรรมดาสามัญ ท่านเป็นพระพิลึกพิลั่น จริยาวัตรของท่านชอบกลอยู่เหมือนกัน เพราะฉนั้นถ้าท่านอ่าานไปได้พบเรืองพิลึกๆ อยู่บ้าง ก็ขอได้โปรดอย่าเข้าใจว่าข้าพเจ้าแต่งเติมเสริมต่อให้เป็นเรื่องสนุกสนานเกินความจริงอะไรเลย ข้าพเจ้าเขียนตามทีได้รู้ได้เห็นได้ยินได้ฟังมาทั้งสิ้น แม้จะไม่ได้เห็นมาเองกับตา ข้าพเจ้าก็ได้ยินหลวงพ่อแช่มท่านเล่าให้ฟัง ส่วนท่านจะคิดอย่างไรก็แล่วแต่ใจท่าน
อีกอย่างหนึ่ง ท่านผู้อ่านที่มีการศึกษาใหม่ หรือแม้แต่ท่านผู้ทรงคุณวุฒิเป็นมหาเปรียญมีทัศนะคติว่าพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ว่าควรจะมีศีลาจารวัตรอย่างนั้นอย่างนี้ มีวินัยอย่างน้้นอย่างนี้ตามพระพุทธบัญญัติ เมื่อได้อ่านเรื่องราวของหลวงพ่อแช่ม จะนึกตำหนิวา่นี่มิใช่พระภิกษุสงฆ์ในนิกายฝ่ายสยาม ไม่ใช่เรื่องดีเรื่องงามควรจะเขียนไว้เป็นแบบอย่างอะไรทำนองนี้ ขอโปรดเข้าใจว่านี่เป็นเรื่องของพระภิกษุสงฆ์รูปหนึ่ง ซึ่งมีชีวิตอยู่ระหว่าง พ.ศ.๒๔๐๐ ถึง พ.ศ.๒๔๙๘ ในท้องถิ่นชนบทบ้านนอกแห่งหนึ่ง พระภิกษุเช่นนี้ย่อมเกิดมาเหมาะสมกับสภาพบ้านเมืองท้องถิ่น และเหมาะสมกับชีวิตจิตใจของชาวบ้านชาวเมืองในสมัยน้ันเป็นแน่นอน ถ้าไม่มี่ดีอะไรอยู่แล้ว ท่านก็คงจะไม่มีชื่อเสียงเป็นที่เคารพนับถือของคนจำนวนมากเช่นน้ัน เปรียบเหมือนดอกไม่และผลไม้ ย่อมจะผลิดอกออกผลตามพืชตามพันธุ์ ต้นไม้ออกดอกออกผลผิดพืชผิดพันธุ์ไม่ได้ฉันใด ภิกษุก็เป็นลูกของชาวบ้านย่อมจะเกิดมีขี้นพอดีพองาม ได้ระดับกับชีวิตจิตใจชาวบ้านน้ันเสมอ พระภิกษุที่ดีเลิศเกินระดับชาวบ้าน ก็ย่อมจะอยู่ในท้องถิ่นน้ันไม่ได้ พระภิกษุที่ต่ำทรามกว่าระดับจิตใจชาวเมืองก็จะอยู่ในเมืองนั้นยาก ฉันนั้น หลวงพอแช่มเป็นพระภิกษุที่เกิดในสมัยหนึ่ง อยู่ในชนบทหนึ่ง ย่อมจะเหมาะสมกับชีวิตจิตใจของราษฎรสมัยน้ัน ท้องถ่ิ่นน้ัน ก็น่าจะถูกต้องเหมือนกัน เราจะเชื่อถือได้อย่างไรว่ายุคเราสมัยเรา ผู้คนจะเข้าใจหลักธรรมทางปฎิบัติในพระพุทธศาสนาดีกว่าคนในยุคหลวงพ่อแช่ม ใครจะเป็นผู้ตัดสินชี้ขาดว่า พระภิกษุอย่างหลวงพ่อแช่ม กับมหาเปรี่ยญ ๙ ประโยคสมัยนี้ ใครจะดีมีประโยชน์แก่ชาติแะพระศาสนามากกว่ากัน ข้ออ้างอย่างเด่นชัดประการหนึ่งก็คือ หลวงพ่อแช่ม ท่านบวชจนตายในผ้าเหลืองมีอายุุถึง ๙๘ เศษ มีคนเรียกหลวงพ่อทั้งเมือง แต่มหาเปรียญผู้เปรื่องปราชย์ในทางปริยัติน้ันพากันสลัดผ้าเหลืองเปลืองผ้าลายไปวุ่นวายอยู่ในโลกีย์กันกี่มากน้อย
ข้าพเจ้าคนหนึ่งละ ที่ได้แลเห็นประวัติอันแปลกประหลาดพิศดารของท่านตลอดจนศีลาจารวัตรอันพิลึกพิกลของท่านว่าควรแก่การสนใจ จึงได้อุตส่าห์เขียนเรื่องนี้ขึ้น ข้าพเจ้าคิดว่าพระภิกษุอย่งหลวงพ่อแช่มนี่แหละ เป็นประโยชน์ต่อชาติและพระศาสนา อย่างน้อยก็ยุคนั้นสมัยน้ันอย่างแน่นอน เพราะท่านบวชสืบต่ออายุพระพุทธศาสนาจนตายในผ้าเหลือง ท่านเป็นที่พึ่งทา่งใจของผู้มีภัยได้ทุกข์จำนวนหนึ่ง ชีวิตหลวงพ่อแช่มจึงควรนับว่าเป็น "พระโพธิสัตว์" ได้ปางหนึ่ง เพราวามหมายของพระโพธิสัตว์น้ัน คือ สัตว์ที่เกิดมาเป็นที่พึ่งแก่ฝูงสัตว์ เมื่อหลวงพ่อแช่ม ท่านเกิดมาเป็นทีพึ่งแก่ฝูงสัตว์ (อันหมายถึงมนุษย์ด้วย) เช่นนี้ จึงนับว่าเป็นชีวิตที่น่าสนใจชีวิตหนึ่ง ซึ่งสาธุชนควรใฝ่ใจใคร่ศึกษา
ชืวิตของคนเป็นเรื่องน่าสนใจท้ังน้ัน แม้ชีวิตนั้นจะชั่วช้าต่ำทรามอย่างไรก็ตามที
แต่ขีวิตพระดีอย่างหลวงพ่อแช่ม น่าศึกษายิ่งกว่านั้น
แต่แน่อน เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ ก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องพิลึกพิลั่นอยู่บ้าง เพราะหลวงพ่อแช่มน้ันท่านไม่ใช่พระภิกษุธรรมดาสามัญ ท่านเป็นพระพิลึกพิลั่น จริยาวัตรของท่านชอบกลอยู่เหมือนกัน เพราะฉนั้นถ้าท่านอ่าานไปได้พบเรืองพิลึกๆ อยู่บ้าง ก็ขอได้โปรดอย่าเข้าใจว่าข้าพเจ้าแต่งเติมเสริมต่อให้เป็นเรื่องสนุกสนานเกินความจริงอะไรเลย ข้าพเจ้าเขียนตามทีได้รู้ได้เห็นได้ยินได้ฟังมาทั้งสิ้น แม้จะไม่ได้เห็นมาเองกับตา ข้าพเจ้าก็ได้ยินหลวงพ่อแช่มท่านเล่าให้ฟัง ส่วนท่านจะคิดอย่างไรก็แล่วแต่ใจท่าน
อีกอย่างหนึ่ง ท่านผู้อ่านที่มีการศึกษาใหม่ หรือแม้แต่ท่านผู้ทรงคุณวุฒิเป็นมหาเปรียญมีทัศนะคติว่าพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ว่าควรจะมีศีลาจารวัตรอย่างนั้นอย่างนี้ มีวินัยอย่างน้้นอย่างนี้ตามพระพุทธบัญญัติ เมื่อได้อ่านเรื่องราวของหลวงพ่อแช่ม จะนึกตำหนิวา่นี่มิใช่พระภิกษุสงฆ์ในนิกายฝ่ายสยาม ไม่ใช่เรื่องดีเรื่องงามควรจะเขียนไว้เป็นแบบอย่างอะไรทำนองนี้ ขอโปรดเข้าใจว่านี่เป็นเรื่องของพระภิกษุสงฆ์รูปหนึ่ง ซึ่งมีชีวิตอยู่ระหว่าง พ.ศ.๒๔๐๐ ถึง พ.ศ.๒๔๙๘ ในท้องถิ่นชนบทบ้านนอกแห่งหนึ่ง พระภิกษุเช่นนี้ย่อมเกิดมาเหมาะสมกับสภาพบ้านเมืองท้องถิ่น และเหมาะสมกับชีวิตจิตใจของชาวบ้านชาวเมืองในสมัยน้ันเป็นแน่นอน ถ้าไม่มี่ดีอะไรอยู่แล้ว ท่านก็คงจะไม่มีชื่อเสียงเป็นที่เคารพนับถือของคนจำนวนมากเช่นน้ัน เปรียบเหมือนดอกไม่และผลไม้ ย่อมจะผลิดอกออกผลตามพืชตามพันธุ์ ต้นไม้ออกดอกออกผลผิดพืชผิดพันธุ์ไม่ได้ฉันใด ภิกษุก็เป็นลูกของชาวบ้านย่อมจะเกิดมีขี้นพอดีพองาม ได้ระดับกับชีวิตจิตใจชาวบ้านน้ันเสมอ พระภิกษุที่ดีเลิศเกินระดับชาวบ้าน ก็ย่อมจะอยู่ในท้องถิ่นน้ันไม่ได้ พระภิกษุที่ต่ำทรามกว่าระดับจิตใจชาวเมืองก็จะอยู่ในเมืองนั้นยาก ฉันนั้น หลวงพอแช่มเป็นพระภิกษุที่เกิดในสมัยหนึ่ง อยู่ในชนบทหนึ่ง ย่อมจะเหมาะสมกับชีวิตจิตใจของราษฎรสมัยน้ัน ท้องถ่ิ่นน้ัน ก็น่าจะถูกต้องเหมือนกัน เราจะเชื่อถือได้อย่างไรว่ายุคเราสมัยเรา ผู้คนจะเข้าใจหลักธรรมทางปฎิบัติในพระพุทธศาสนาดีกว่าคนในยุคหลวงพ่อแช่ม ใครจะเป็นผู้ตัดสินชี้ขาดว่า พระภิกษุอย่างหลวงพ่อแช่ม กับมหาเปรี่ยญ ๙ ประโยคสมัยนี้ ใครจะดีมีประโยชน์แก่ชาติแะพระศาสนามากกว่ากัน ข้ออ้างอย่างเด่นชัดประการหนึ่งก็คือ หลวงพ่อแช่ม ท่านบวชจนตายในผ้าเหลืองมีอายุุถึง ๙๘ เศษ มีคนเรียกหลวงพ่อทั้งเมือง แต่มหาเปรียญผู้เปรื่องปราชย์ในทางปริยัติน้ันพากันสลัดผ้าเหลืองเปลืองผ้าลายไปวุ่นวายอยู่ในโลกีย์กันกี่มากน้อย
ข้าพเจ้าคนหนึ่งละ ที่ได้แลเห็นประวัติอันแปลกประหลาดพิศดารของท่านตลอดจนศีลาจารวัตรอันพิลึกพิกลของท่านว่าควรแก่การสนใจ จึงได้อุตส่าห์เขียนเรื่องนี้ขึ้น ข้าพเจ้าคิดว่าพระภิกษุอย่งหลวงพ่อแช่มนี่แหละ เป็นประโยชน์ต่อชาติและพระศาสนา อย่างน้อยก็ยุคนั้นสมัยน้ันอย่างแน่นอน เพราะท่านบวชสืบต่ออายุพระพุทธศาสนาจนตายในผ้าเหลือง ท่านเป็นที่พึ่งทา่งใจของผู้มีภัยได้ทุกข์จำนวนหนึ่ง ชีวิตหลวงพ่อแช่มจึงควรนับว่าเป็น "พระโพธิสัตว์" ได้ปางหนึ่ง เพราวามหมายของพระโพธิสัตว์น้ัน คือ สัตว์ที่เกิดมาเป็นที่พึ่งแก่ฝูงสัตว์ เมื่อหลวงพ่อแช่ม ท่านเกิดมาเป็นทีพึ่งแก่ฝูงสัตว์ (อันหมายถึงมนุษย์ด้วย) เช่นนี้ จึงนับว่าเป็นชีวิตที่น่าสนใจชีวิตหนึ่ง ซึ่งสาธุชนควรใฝ่ใจใคร่ศึกษา
ชืวิตของคนเป็นเรื่องน่าสนใจท้ังน้ัน แม้ชีวิตนั้นจะชั่วช้าต่ำทรามอย่างไรก็ตามที
แต่ขีวิตพระดีอย่างหลวงพ่อแช่ม น่าศึกษายิ่งกว่านั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น