วันพุธที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2560

หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง (ตอน ปัญญากล้าในป่าชัฎ )


ปัญญากล้าในป่าชัฎ

     เมื่อเข้าป่าเดินไพร จิตใจก็สงบวิเวก สติปัญญาก็มีกำลังแก่กล้าขึ้น  ธรรมชาติของป่าเขาลำเนาไพร มีแต่ต้นไม้ใหญ่และห้วยละหารธารน้ำใส สิงสาราสัตว์ต่างๆที่อาศัยอยู่ในป่าดง ทำให้มองเห็นสภาวะของโลกนี้เปลี่ยนแปลงไปอีกแบบหนึ่ง  ว่าโลกนี้มันมิใช่โลกของมนุษย์เท่าน้ัน มันเป็นของโลกของสัตว์และไม้ป่าทั้งหลาย   ทั้งสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ตลอดจนวิหคนกกานานาชนิด  มันอยู่กันในป่าอย่างมีอิสระเสรี และมีความสุขตามประสาสัตว์หากินผลไม้ใบหญ่าพออิ่มไปวันๆหนึ่ง ไม่ต้องกังวลถึงวันหน้า ไม่ต้องเก็บสะสมไม้จนเกินส่วน ไม่ต้องโลภมากในทรัพย์สมบัติ  แม้แต่ช้าง วัวกระะทิง มหิงสา ตัวใดใด มันก็กินแต่ยอดไม้ใบหญ้า  มีชีวิตอยู่ได้ไม่เดือดร้อน  ถึงจะมีสัตว์ที่กินสัตว์อื่นเป็นอาหาร  เช่น เสือหรือเหยี่ยว สัตว์จำพวกนี้ก็มีอยู่น้อย  ดูเหมือนธรรมชาติจะสร้างมันมาเพื่อคอยเก็บกินเจ้าสัตว์อ่อนแอ ช่วยตัวเองไม่ได้หรือเคราะห์ร้าย เผลอตัวเท่านั้น   แต่เจ้าสัตว์ร้ายๆพวกนี้เองที่ช่วยให้สัตว์อื่นประเปรียวว่องไว รู้จักหนีภัยอันตรายอยู่เสมอ  ทำให้มันเป็นสัตว์ที่ควรคู่จะอยู่ในป่าดง เวลาเหยี่ยวใหญ่บินมา บรรดานกเล็กนกน้อยทั้งหลายก็จะส่งเสียงร้องเตือนกันไปลั่นป่า  ให้ต่างคนต่างระวังตัว เวลาเสือเดินมาเหนือลม  พวกเก้งกวางสัตว์กินหญ้าทั้งหลายได้กลิ่นเสือ  มันจะทำหูชูชัน ส่งเสียงร้องขึ้นและวิ่งหนี  ทำให้เพื่อนๆ ของมันรู้ตัวว่ามีภัยมาถึงตัว  อย่าว่าแต่สัตว์ป่าเลย  แม้แต่ม้าที่เราเลี้ยงไว้ ถ้าขึ่เข้าป่าไปได้กลิ่นเสือ มันก็หยุด จะทำอย่างไรมันก็ไม่ยอมไป ต้องใช้หัวหอมทาจมูกกลบกลิ่นเสือเสียมันจึงจะยอมวิ่งต่อไป

    ธรรมชาติของป่าเขาลำเนาไพร อันสงบวิเวกใจนี้  ประกอบกับมีภัยอันตรายอยู่รอบด้าน  ทำให้ต้องมีสติอยู่ทุกขณะ  ทำให้ต้องรำลึกคุณพระรัตนตรัยอยู่ทุกเมื่อ  ทำให้ต้องเจริญสมถธรรมอยู่ตลอดเวลา  ในเวลาเดียวกันจิตก็สงบเป็นสมาธิได้รวดเร็ว  เพราะรู้สึกตัวว่าไม่มีที่พึ่งอื่น เราตัวคนเดียว  มีแต่พระรัตนตรัยเท่านั้นเป็นที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยว จึงต้องบำเพ็ญเพียรภาวนาทางจิตอยู่ทุกขณะย่างก้าวเดิน  เมื่อจิตสงบสงัดจากความวุ่นวายฟุ้งซ่านด้วยกิเลสเร่าร้อน สละเสียสิ้นแล้วซึ่งบาปกรรมทั้งหลาย   ยอมสละได้แม้แต่ชีวิตฝากไว้กับคุณพระเช่นนี้ ก็ทำให้จิตแน่วแน่เป็นสมาธิ มีกำลังปัญญากล้า  ธรรมะก็ผุดขึ้นในใจได้  เกิดความสว่างโพลงขึ้น  เห็นแจ้งในธรรมะบางอย่าง  แม้แต่ถ้อยคำบางคำที่เคยได้ยินได้ฟังมา ฟังผ่านๆหูไป  เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างก็เกิดความเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้ง  เช่นคำว่า  "เอาสติเป็นหางเสือ ถือท้ายเรือไว้ให้เที่ยง"   ก็เข้าใจได้ชัดเจนว่า   สติคือความรู้สึกตัวอยู่ทุกขณะจิต ว่าเรากำลังทำอะไร  กำลังคิดอะไรอยู่ในขณะนั้น   ปัญญาคือความสว่างโพลงขึ้นในดวงจิต ความรู้แจ้งแทงตลอดในใจว่าอะไรเป็นอะไร  มันเป็นอาการที่แจ่มสว่าง  เห็นทะลุปรุโปร่งขึ้นในใจเรา 

     การเดินธุดงค์บำเพ็ญสมณธรรมนี้  ทำให้เกิดสติปัญญาขึ้น มีธรรมะผุดสว่างโพลงขึ้นได้เอง ทำให้ระลึกถึงพระพุทธองค์ว่า ถ้ามิได้ทรงออกบวชบำเพ็ญสมณธรรมในป่า  ก็ไม่สามารถตรัสรู้อริยสัจธรรมได้   นึกถึงพระอริยสงฆ์สาวกว่า ท่านสำเร็จอริยมรรคได้ ก็เพราะการถือธุดงควัตร  นึกถึงคำหลวงพ่อทาได้ว่า  ถึงใครจะเรียนจบพระไตรปิฎก ก็เป็นนักปราชญ์ถือคัมภีร์เปล่า ไม่สามารถจะสำเร็จมรรคผลอันใด ผู้ที่จะบรรลุพระโสดาบันเป็นพระอริยบุคคลได้  ต้องถือธุดงควัตรทำให้เข้าใจว่า การที่พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาสั่งสอนพระสาวก สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลได้นั้น มิใช่สำเร็จด้วยการฟังเพียงอย่างเดียว  ท่านผู้นั้นต้องสั่งสมบารมีธรรมมาแล้วในอดีต เป็นผู้มีศีลมีสัตย์ได้อบรมจิตในทางสมณธรรมมาแล้ว เมื่อได้ฟังตรัสเทศนา จึงเกิดปัญญารู้แจ้ง ท่านผู้นั้นจะต้องละบาปบำเพ็ญบุญมาก่อนแล้วทั้งสิ้น  ดังเช่น พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตรเป็นต้น   คนสมัยน้ันคงจะมีจิตใจฝักใฝ่ในธรรมอยู่เป็นปกตินิสัย จึงฟังธรรมบรรลุธรรมภิสมัยได้   ถึงคนเราสมัยนี้ เกิดมามิได้พบพระพุทธองค์ แต่ถ้ามีความตั้งใจเดินโดยทางอริยมรรค ๘ ประการ บำเพ็ญสมณธรรมถูกแบบแผนไม่ทอดทิ้งเสียก็คงจะสำเร็จมรรคผลได้  การศึกษาพระธรรมในทางพระพุทธศาสนาน้ันมีบันได ๓ขั้น คือ เรียนปริยัติขั้นแรก เรียนปฎิบัติขั้นสอง จิตจึงจะก้าวเข้าสู่ปฎิเวธขั้นที่สาม  ถ้าเรียนแต่ปริยัติจะก้าวขึ้นสู่ปฎิเวธไม่ได้เลย

     หลวงพ่อแช่ม  ก็เกิดปัญญาเข้าใจเรื่องไตรสิกขา คือการศึกษาสามขั้น คราวนี้ออกป่าถือศีลเป็นนิจศีล ทำสมาธิให้เกิด เมื่อเกิดสมาธิจิตแล้ว จะเกิดปัญญา  คำว่า ปัญญา คือรู้แจ้งแทงตลอดในธรรมะ คำว่า ธรรมะ คือ ธรรมดา ธรรมชาติ ของโลกและชีวิตที่เป็นจริงแท้เป็นความจริงอันสูงสุด ประเสริฐสุดของโลกนั่นเอง 

     หลวงพ่อแช่ม เดินทางธุดงค์ไป สติปัญญาก็บังเกิดแก่กล้่า  แจ่มแจ้งขึ้นเรื่อยๆเหมือนสายฝนที่หลั่งหล่นลงจากฟากฟ้าไม่มีขาดเม็ด ขณะน้ันหลวงพ่อแช่ม ลืมวัด ลืมบ้าน ลืมมารดาบิดาญาติพี่น้อง  เหมือนชีวิตอยู่ตรเดียวในโลก ชีวิตเหมือนธุลีน้อยๆที่ลอยไปตามกระแสลม  มีแต่ความเบากาย สบายใจ ไร้ห่วง ไร้กังวลทุกสิ่งทุกอย่าง  ไม่ติดข้องอยู้ในสิ่งใดเลย  ชีวิตเป็นสุขอย่างบอกไม่ถูก 

    เดินทางข้ามป่า ข้ามทุ่ง ข้ามท่า ข้ามห้วย ข้ามเขา เรื่อยไป ค่ำไหนก็ปักกลดอธิษฐานจิตพักผ่อนอยู่ชั่วราตรี เช้าก็บิณฑบาตรเลี้ยงชีพเรื่อยไป บางทีก็ไม่เจอบ้านคนเลยก็เคยมีบ่อยๆ อยากน้ำก็กินน้ำตามลำห้วยธาร  ไม่มีอาหารบิณฑบาตรก็เก็บผลไม้ในป่ามาขบฉันไปมื้อหนึ่งๆ  บางทีข้าวก็ไม่ตกถึงท้องเลยถึง ๒-๓ วัน  ก็พอทนอยู่ได้ไม่หิวอะไรนักหนาด้วยกำลังใจนั้นแก่กล้า ศรัทธามั่นคง ถึงที่สุดเข้าจริงๆ ก็สวดมนต์ภาวนาอธิษฐานถึงคุณพระพุทธเจ้า  ผู้เป็นทั้งพระบรมศาสดาและพระบิดาของลูกพระตถาคต  อ้างเอาศีลสัตย์ที่ได้บำเพ็ญมาไม่ด่างพร้อย อ้างเอาเทพยดาที่เป็นทิพยเนตรทิพโสตมาเป็นพยาน  รุงเช้าออกไปบิณฑบาตรก็ได้ข้าวมาสมดังใจปรารถนา  ไม่รู้ว่าเขามาแต่ไหน ถ้าเป็นคนธรรมดา  หรือว่าเทวดาก็ไม่เชิง แต่หลวงพ่อท่านสั่งห้ามไม่ให้ตั้งข้อสงสัย คิดลามกอะไร ให้รับอาหารเขาที่ถวายเท่านั้น  หลวงพ่อแช่มเกิดความมั่นใจว่าบวชเป็นลูกพระตถาคตนี้ไม่อดตายแน่  เพราะบารมีท่านมากเหลือเกิน  เสด็จปรินิพานไปแล้วตั้ง ๒๕๐๐ กว่าปีแล้ว ยังคุ้มครองมาถึงพระภิกษุในพระศาสนา 

    ส่วนสัตว์ร้ายในป่าที่ต้องระวัง ก็มี งู เสือ ช้าง หมี วัวกระทิง มหิสา ๖ ชนิดนี้ บางทีได้พบปะกัน บางทีก็แคล้วคลาดกันไป  แต่ถ้าพบปะเจอะเจอเขาเข้าแล้ว  ก็ไม่หันหน้าหนี ต้องใจมั่นคงไม่หวั่นไหว  มีความเชื่อมั่นในพระพุทธคุณ  และบุญกุศลของเรา ต้องแผ่เมตตาจิตแก่เขา ถ้ากำลังเดินทางอยู่ก็ต้องหยุดยืนนิ่ง  เพ่งมองเขาด้วยสายตาที่เป็นมิตร มีเมตตาจิต พูดกับเขา ถ้าเป็นเสือลายพาดกลอนตัวโตเท่าลูกวัว ก็พูดว่า "นี่แนะ เจ้าเสือเอ๋ยเจ้าก็เป็นสัตว์โลกชนิดหนึ่ง เราก็เป็นสัตว์โลกชนิดหนึ่ง เราต่างคนต่างเกิดมา ไม่เคยเห็นหน้ากัน ไม่เคยมีเวรมีภัยแก่กัน ก็ขอให้เราต่างคนต่างอยู่อย่าทำร้ายเบียดเบียนกัน  ให้เป็นเวรเป็นภัยสืบต่อไปเลย  ขอให้เราต่างคนต่างไปตามประสาของเรา เราไม่เคยเบียดเบียนสัตว์อื่น เราเข้าป่ามาเพื่อบำเพ็ญบุญกิริยาวัตร เพื่อสืบพระศาสนา ให้ความสุขแก่สัตว์อื่น ทั้งในชาตินี้และชาติหน้า  ขอให้เจ้าหลีกทางให้เราเสีย ขอบุญกุศลที่เราบำเพ็ญมาจงคุ้มครองเจ้าให้มีความสุขเถิด" พูดอย่างนี้บางทีมันก็หลีกเราไป อย่างมากก็ส่งเสียงคำรามลั่นป่าเท่านั้น  มันไม่เคยทำอันตรายเราเลย  เวลากลางคืนเราปักกลดมันก็มาเดินวนเวียนอยู่ใกล้ๆ เราก็สวดมนต์ภาวนาแผ่เมตตาจิตให้มัน มันก็ไม่เคยล่วงล้ำกรดเราเลย  ส่วนช้างน้ัน มันไปไหนกันเป็นโขลงๆ  ได้ยินเสียงมาแต่ไกล เรารู้ว่ามันอยู่ทางไหน ก็หลีกหลบไป จวนตัวเข้าจริงๆ ก็ต้องตั้งจิตภาวนาให้มั่นคง ไม่หวั่นไหว พูดกับมันว่า " พงศ์พันธ์ของเจ้าก็เคยอุปัฎฐากพระพุทธองค์ ไม่เคยทำร้ายพระพุทธองค์ เราก็ลูกหลานพระตถาคต เจ้าก็สืบเชื้อสายมา ขอจงอย่าทำร้ายเบียดเบียนกันให้มีเวรสืบไปเลย ขอให้เราต่างคนต่างอยู่ หลีกกันไป"  ช้างมันก็ไม่เคยเข้ามาแทงมาเหยียบย่ำทำอันตรายเลย  ควายป่า มหิสา โคไพร ก็เช่นกัน ก็มีวิธีต่อสู้กับมันด้วยจิตที่เหนือกว่า มั่นคง เข้มแข็งกว่า  แผ่เมตตาให้เขา  ก็ไม่มีอันตรายใดใด 

     ข้อสำคัญเวลาปักกลดจำวัดแล้ว  ก่อนนอนต้องสวดมนต์แผ่เมตตาจิตด้วยบทพระคาถากรณีเมตตาสูตร  รัตนสูตร พาหุง ๘ บท พระอรหันต์๘ ทิศ แล้วสวดแผ่เมตตาแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ตลอดจนผีสางเทวดา เจ้าป่า เจ้าเขา 

     นอกจากนั้นก็ต้องสวดบทกรวดน้ำของโบราณ คือบทอิมินา แผ่บุญกุศลให้แก่สรรพสัตว์ทั่วหน้า  ตลอดจนผีสางเทวดาอารักษ์เจ้าทุ่งเจ้าป่าเขาทั้งหลาย  

     เมื่อหลวงพ่อแช่มไปบำเพ็ญภาวนาในป่าใหญ่ สติปัญญาก็แก่กล้าสว่างไสว มีศรัทธามั่นคงอยู่ในคำสอนของพระตถาคต ผู้เป็นพระบรมศาสดา ได้สติปัญญาว่า โลกนี้ยังคงเป็นอยู่เช่นนี้สืบไปอีกชั่วกัปป์ชั่วกัลป์ แต่ชีวิตมนุษย์เกิดมาแล้วก็อยู่เพียงชั่วอายุหนึ่ง  ไม่กี่สิบปี ถ้าเทียบเวลาของโลก ก็ชั่วครู่ชั่วยาม ชีวิตจึงเหมือนฟองน้ำ เกิดแล้วดับไป เป็นอยู่เช่นนี้ ไม่รู้กี่แสนชาติ กี่ล้านชาติ เมื่อเราเกิดมาในชาตินี้ จึงควรบำเพ็ญบุญบารมีเพื่อว่าตายไปเกิดใหม่ จะได้เกิดในที่ดีกว่า ประเสริฐกว่า เพราะคนเราตายแล้วต้องเกิด จะเกิดเป็นอะไร ก็สุดแต่บุญกรรมที่ทำไว้ในชาตินี้ 

     


(โปรดติดตามตอนต่อไป)
      

วันอาทิตย์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2560

หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง (ตอน นิราศเมืองพม่า)


นิราศเมืองพม่า 

     หลวงพ่อแช่ม ได้เดินทางไปธุดงค์ ไปนมัสการสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ๓ แห่ง ๓ หน  คือพระปฐมเจดีย์  พระแท่นดงรัง  และพระพุทธบาท  จิตใจก็ยิ่งมั่นคงในพระพุทธศาสนาเกิดปัญญาเห็นธรรมะได้จากสถานที่ศักดิ์สิทธ์นั้นๆ  จนแลเห็นคุณค่าของพระพุทธองค์ได้แจ่มกระจ่างสว่างใจ   เกิดความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธจริยา เกิดความใฝ่ฝันที่จะดำเนินตามรอยพระบาทพระพุทธองค์   การธุดงค์ไป "อย่างโดดเดี่ยวเหมือนนอแรด" น้ันทำให้ละห่วง หมดกังวล เบากาย  สบายใจ  ปลอดโปร่ง  แจ่มใส   สว่าง เหมือนอย่างได้เคยลิ้มรสจากสันติสุขอย่างที่เคยได้รับมา คำว่า "นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ"  ไม่มีสุขใดยิ่งกว่าความสงบน้ัน  ที่จริงก็เป็นคำพูดที่พูดกันอยู่เสมอ  แต่คนที่จะเข้าใจแจ่มแจ้งจริงๆน้ัน  ต้องได้เคยลิ้มรสความสงบน้ันมาด้วยตนเอง  ความสงบในจิตใจ หมดห่วง หมดกังวล  ห่างไกลความโลภ โกรธ หลง  ไม่ติดแต่นยึดมั่นอยู่ในยศศักดิ์ ทรัพย์สมบัติ แม้แต่ที่อยู่ เครื่องนุ่งห่ม  อาหาร ก็ไม่มีกังวลใดๆ มีชีวิตด้วยการเจริญภาวนาเท่านั้น 

     แต่การเจริญภาวนาสมณธรรมอยู่ภายในวัดน้ัน เปรียบเหมือนท่อนไม้สดที่ตัดเอาแช่ทิ้งไว้ในสระน้ำ  ไม้นั้นยังไม่แห้งพอที่จะจุดไฟแห่งปัญญาให้ลุกสว่างได้  ต้องท่องเที่ยวสัญจรไปแต่ผู้เดียว  เหมือนเอาท่อนไม้ขึ้นจากสระน้ำ  ไม้นั้นก็ค่อยแห้งเปราะ เหมาะแก่การจุดไฟแห่งปัญญา  ยางไม้สดและน้ำที่ชุ่มอยู่เหมือนกิเลสตัณหา ความโลภ โกรธ หลง อุปกิเลส และนิวรณ์๕ จึงจะแห้งหายสิ้นไป 

     หลวงพ่อแช่ม คิดเห็นเช่นนี้  จึงต้ังใจจะเดินทางธุดงค์ท่องเที่ยวแต่ผู้เดียว เพื่อจะชำระจิตใจให้ผ่องใส  เผอิญในพรรษาน้ัน มีพระภิกษุอาวุูโส ลาสึกออกไปแต่งงานกับสตรี ทำให้พระเณรหวั่นไหวกันมาก เพราะเป็นพระภิกษุที่เคยเคารพนับถือกันอยู่  จู่ๆ ก็ลาสึกออกไปมีเมียเสียเช่นนี้ ทำให้พระเณรพากันขาดที่ยึดเหนี่ยวทางใจ หลวงพ่อทานั้นเสียใจมากถึงแก่ไม่พูดจากับใครอยู่หลายวัน  ต่อมาพระหลวงพ่อองค์หนึ่ง อายุ ๖๕-๗๐ ปีก็ล้มเจ็บมรณภาพลง  
  
     หลวงพ่อแช่มก็คิดสะท้อนใจว่า ถ้าชีวิตพระของเรารอดพ้นจากบ่วงมารศรีหรือกิเลสมารนี้ไปได้  ก็หนีไม่พ้นมัจจุมาร ถึงบวชเป็นพระถือศีล ๒๒๗ ข้อก็ตามที ถ้าไม่ได้บำเพ็ญสมณธรรมให้คู่ควรแก่ความเป็นแก้วประการที่สามให้ชนเคารพบูชา ก็นับว่าเสียทีบวชเปล่า  ตายไปก็หนึไม่พ้นเวียนว่ายตายเกิดอยู่  

     หลวงพ่อแช่มจึงเลือกทางเดินบนทางสองแพร่ง โดยการถือธุดงค์วัตรบำเพ็ญสมณธรรม  เมื่อหลวงพ่อแช่มตรึกตรองใจเด็ดขาดแล้ว  จึงเข้ากราบลาหลวงพ่อทาอาจารย์ขอออกธุดงค์ไปประเทศพม่า

     หลวงพ่อทาได้สอบถามความประสงค์แน่นอนแล้ว  ก็ยินดี อนุญาตให้ และยังได้กล่าวอบรมสั่งสอนถึงเรื่องธุดงควัตรอีกเป็นอันมาก 

     ท่านกล่าวว่า  การถือธุดงค์น้ันไม่ใช่แต่การท่องเที่ยวเดินทางไปปักกลดอยู่ตามที่แจ้ง ตามโคนไม้หรือในถ้ำเท่านั้น  การถือธุดงค์ไม่ใช่กิจของสงฆ์ฝ่ายอรัญญิกาวาสเท่าน้ัน  พระภิกษุสงฆ์ฝ่ายคามวาสีที่อยู่ในบ้านเมืองวัดวาอารามก็ถือธุดงค์ได้ พระภิกษุสงฆ์ทุกองค์ควรหาโอกาสถือธุดงค์ให้ได้สักครั้ง  เป็นการเดินทางตามรอยบาทพระพุทธองค์ ผู้เป็นบรมครูของเราทั้งหลาย  พระพุทธองค์ได้ทรงบัญญัติธุดงควัตรด้วยพระองค์เอง และพระองค์ก็ทรงปฎิบัติธุดงควัตรด้วยพระองค์เองทุกประการ พระองค์ทรงปฎิบัติมาครบถ้วนทุกประการ ทรงเห็นผลในการปฎิบัติธุดงค์ว่าเป็นเครื่องขัดเกลาอาสวะกิเลสให้สิ้นไป   การปฎิบัติธุดงค์เป็นการเดินทางอริยมรรค คือ มรรค ๘ จนกระทั่งได้บรรลุถึงพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ  การที่จะบรรลุอริยสัจธรรมได้  เป็นพระอริยบุคคลนั้นท่านล้วนต้องผ่านการถือธุดงควัตรมาก่อนแล้วทั้งสิ้น  สุดแต่ใครจะถือธุดงค์ข้อใด  อย่างใดก็แล้วแต่อัธยาศัยของผู้นั้น   สุดแต่วาสนาบารมีที่เคยสร้างมา  พระอริยสาวกทุกรูปก็ได้ถือปฎิบัติ ผ่านการธุดงค์มาแล้วทั้งสิ้น เพราะธุดงค์วัตรเป็นเครื่องมือสำหรับปฎิบัติฝึกฝนอบรมใจให้เบาบางจากกิเลส การจะก้าวขึ้นสู่พระอริยบุคคลชั้นโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล ชั้นอนาคามิมรรค อนาคามีผล ชั้นสกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล พระอรหัตตมรรค พระอรหัตตผล ทั้ง๘ ชั้นนี้ ต้องผ่านการต่อสู้กับกิเลสอาสวะมาแล้วอย่างโชกโชน  คู่ต่อสู้ก็คือการถือปฎิบัติธุดงควัตร ถ้าไม่ถือธุดงควัตร ถึงจะเรียนจบพระไตรปิฎกมหาเปรียญ ๙ ประโยค เป็นนักปราชญ์ทางศาสนา ก็เป็นนักปราชญ์คัมภีร์เท่านั้น  รู้เพียงตามตำรา ยังไม่เข้าใจธรรมะที่ลึกซึ้งทางใจเลย 

     ธุดงควัตรนั้น  พระบรมศาสดาได้ทรงบัญญัติไว้ถึง  ๑๓ ประการคือ
     ๑. ถือแต่ผ้าบังสกุลเป็นวัตร ผ้าอื่นไม่ใช้นุ่งห่มอย่างหนึ่ง
     ๒. ถือแต่ผ้าไตรจีวรสามผืนเป็นวัตร ไม่ใช้ผ้าเกิน   ๓ ผืนอย่างหนึ่ง
     ๓ ถือท่องเที่ยวบิณฑบาตรเป็นวัตร ไม่ขาดไม่เว้นอย่างหนึ่ง 
     ๔ ถือบิณฑบาตรบ้านเดียว แถวเดียวเป็นวัตร ไม่บิณฑบาตรบ้านอื่นแถวอื่นอย่างหนึ่ง
     ๕. ถือบริโภคอาหารอาสน์เดียวเป็นวัตร ไม่บริโภคอีกเมื่อลุกจากที่นั่งแล้วอย่างหนึ่ง  
     ๖. ถือบริโภคอาหารแต่ในบาตรที่บิณฑบาตรได้เป็นวัตร ไม่บริโภคอาหารที่มิได้บิณฑบาตรมาอย่างหนึ่ง 
     ๗. ถือบริโภคอาหารแต่บิณฑบาตรได้มาเป็นวัตร  ไม่บริโภคอาหารที่ไม่ได้บิณฑบาตรมาอย่างหนึ่ง
     ๘. ถือเอาการอยู่ป่าเป็นวัตร ไม่อยู่บ้านเมืองอย่างหนึ่ง
     ๙. ถือเอาการอยู่โคนไม้เป็นวัตร ไม่อยู่กุฎิที่มุงหลังคาอย่างหนึ่ง
     ๑๐.ถือเอาการปักกลดอยู่กลางแจ้งเป็นวัตร ไม่อยู่ในโรงเรือนอย่างหนึ่ง
     ๑๑. ถือเอาการอยู่ป่าช้าเป็นวัตร ไม่อยู่ในที่อื่นอย่างหนึ่ง
     ๑๒. ถือเอาการอยู่ในเสนาสนะที่ท่านจัดไว้ให้อยู่อย่างไรก็อยู่อย่างนั้น  ไม่อยู่ในที่อื่นอย่างหนึ่ง
     ๑๓. ถือเอาการนั่งเป็นวัตร ไม่นอนอย่างหนึ่ง
     ธุดงควัตรทั้ง ๑๓ ประการนี้ ท่านเรียกว่า ตทังคธุดงค์ แปลว่าองค์แห่งธุดงค์ ๑๓ ประการ เป็นข้อปฎิบัติอย่างยิ่งยวดสำหรับฝึกฝนอบรมจิตให้เบาบางห่างไกลจากกิเลสตัณหาราคะทั้งหลาย  แม้จะลำบากยากเย็นอย่างไรก็ต้องถือปฎิบัติให้ได้ครบถ้วนตามกำหนดเวลาที่ตั้งจิตอธิษฐานไว้  ฝนจะตก น้ำ่จะท่วม ุ ยุงหรือมดจะกวนอย่างไรก็ต้องอยู่ให้ครบกำหนด  แม้จะถึงชีวิตร่างกาย เช่น เสือจะมากิน  ช้างจะมาแทง ก็ต้องอยู่ในกลดนั้นจะหลีกหนีไปอยู่ที่อื่นไม่ได้เป็นอันขาด  เหมือนดังที่พระพุทธองค์ทรงตั้งสัตย์อธิษฐานว่าตราบใดยังมิได้ตรัสรู้ธรรมอันวิเศษจะไม่ยอมลุกจากพระอาสน์ที่ตรัสรู้ ฉนั้น  การตั้งจิตอธิษฐานเช่นนี้  เป็นการกระทำที่อาจหาญมั่นคง ไม่คำนึงถึงชีวิตและร่างกายจะแตกดับเรียกว่า เสียชีพไม่ยอมเสียสัตย์  ไม่ใช่แต่เพียงการอธิษฐานเพื่อให้จิตมั่นคงไม่หวั่นไหวเท่านั้น  ต้องบำเพ็ญเพียรภาวนาทางจิตวิปัสสนากรรมฐานไปด้วย ตลอดเวลานั้น 

     การออกท่องเที่ยวธุดงค์นั้น  ไม่ใช่การเดินชมนกชมไม้ ไม่ใช่การเดินทางท่องเที่ยวไปเฉยๆ  หรือเดินทางเพื่อแสวงหาลาภสักการะ แต่ต้องเป็นการเดินทางเพื่อฝึกฝนอบรมตนตามแนวทางธุดงควัตร ๑๓ ประการเท่าน้ัน  จะเลือกปฎิบัติข้อใดก็สุดแล้วแต่อัธยาศัยใจสมัคร  ตามกำลังศรัทธาของตน  แต่ต้องเลือกมาถือปฎิบัติอย่างน้อย ๑ ข้อที่เหมาะสมกับอุปนิสัยของตน  การเดินธุดงค์นั้นย่อมมีโอกาสไดปฎิบัติวัตรได้มากข้อ เช่น ๑.ปักกลดอยู่กลางแจ้งเป็นวัตร เมื่อเดินทางถึงถิ่นไหนตำบลไหน จะหยุดพักก็ปักกลดอธิษฐานการปักกลดอยู่กลางแจ้งตลอดกาล ๑ ราตรี หรือ ๓ ราตรีสุดแล้วแต่สะดวก เมื่อปักกลดลง ณ ที่ใดแล้ว จะถอยกลดไม่ได้จนครบกำหนดที่ตั้งสัตย์อธิษฐานไว้ ฝนจะตก เสือจะดุ ช้างจะมาเป็นโขลง ก็ถอนกลดหนีไม่ได้เลยเป็นอันขาด ๒. ถือเอาการบิณฑบาตรบ้านเดียวแถวเดียวเป็นวัตร ไม่ไปบิณฑบาตรบ้านอื่นแถวอื่น ๓. ถือเอาการฉันอาหารอาสน์เดียวเป็นวัตร เมื่อลุกจากที่นั่งแล้วก็ไม่ฉันอาหารอีกตลอดกาลวันนั้น คือฉันอาหารหนเดียวเท่านั้น ๔. ถือเอาการฉันอาหารในบาตรเป็นวัตร อาหารนอกบาตรไม่ฉัน อาหารคาวหวาน เค็ม เผ็ด ก็รวมฉันในบาตรเท่านั้น ๕. ถือเอาการห่มผ้าไตรจีวร ๓ ผืนเป็นวัตร ไม่ใช้ผ้าอื่นอีก แม้จะหนาวหรือผ้าจะเปียกก็ไม่เปลี่ยนใช้ผ้าอื่นอีก ๗. ถือเอาแต่อาหารที่บิณฑบาตรได้มาเป็นวัตร  ไม่ฉันอาหารอื่นที่มีผู้ถวายภายหลังบิณฑบาตรอีก 

     การธุดงค์นี้เป็นการบังคับใจตนเอง เป็นการฝึกฝนอบรมจิตใจตนเองด้วยการปฎิบัติ ผลจะเกิดแก่ใจตนเองนานาประการ การเดินธุดงค์นี้ ถ้าถือสัตย์มั่นคง ไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่กริ่งเกรงภัยอันตรายใดใด ยึดเอาพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เป็นที่พึ่งให้มั่นคง  เสือช้างผีสางทั้งหลายย่อมยำเกรง ไม่มากร่ำกราย  เรื่องอดอยากก็ไม่ต้องกลัว ลูกพระตถาคตไม่เคยอดตายเลย ตลอดเวลา ๒๕๐๐ ปีเศษ ลูกพระตถาคตไม่เคยอดตายเลย อย่างร้ายแรงก็กินลูกไม้ในป่าได้ ถ้ามีศีลสัตย์มั่นคง จะกินลูกไม้ในป่าไม่ถึง ๓ วัน จะมีคนมาถวายภัตตาหารให้ลูกพระตถาคตเสมอ ให้อธิษฐานถึงคุณศีลที่ได้รักษา อธิษฐานถึงสัตย์ที่ได้ดำรง  อธิษฐานถึงคุณพระพุทธองค์ผู้บิดาของลูกพระตถาคต อธิษฐานถึงธรรมที่ประจักษ์แจ้งในใจ  อธิษฐานถึงคุณพระอริยสงฆ์ที่ดำรงสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา รุ่งเช้าให้มุ่งหน้าไปทางทิศที่ควรจะไป จะได้พบผู้ใจบุญมาตักบาตรทำบุญ  เห็นผู้คนก็อย่าถามทัก อย่านึกในทางลามก ให้รับบิณฑบาตร และสวดอุทิศบุญกุศลให้แก่เขา  ฉันข้าวเขาแล้ว ก็ต้องยถาสัพพี กรวดน้ำแผ่ส่วนบุญให้แก่สรรพสัตว์ทั่วหน้า  บางทีผู้ที่มาตักบาตรแก่เรานั้นก็ไม่ใช่คนธรรมดา เขาเป็นเทวารักษ์กุมเทวดา หรือรุกขเทวดา อยู่ในป่านั้นๆ  

     หลวงพ่อทา  ท่านอบรมสั่งสอนรอบคอบหลายเรื่อง เพราะท่านเป็นพระนักปฎิบัติ ท่านปฎิบัติมาด้วยตนเองจนมีผู้คนเคารพกราบไหว้ท่านทั้งบ้านทั้งเมือง  คำอบรมสั่งสอนของท่านทำให่เกิดความมั่นใจและรื่นเริงในการเดินธุดงค์ในครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง  
    หลวงพ่อแช่ม จึงเตรียมไตรจีวร เครื่องอัฐบริขารครบ แล้วก็ออกเดินทางแบกกลด สะพายบาตรไปแต่องค์เดียว มุ่งหน้าเข้าป่าเมืองกาญจน์ ในฤดูแล้งเดือนอ้ายปีนั้น เหมือนนกที่บินออกจากกรง เข้าสู่ป่า เหมือนนกขมิ้นเหลืองอ่อน ค่ำไหนนอนนั่น  


(โปรดติดตามตอนต่อไป)