วันพุธที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2560

หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง (ตอน ปัญญากล้าในป่าชัฎ )


ปัญญากล้าในป่าชัฎ

     เมื่อเข้าป่าเดินไพร จิตใจก็สงบวิเวก สติปัญญาก็มีกำลังแก่กล้าขึ้น  ธรรมชาติของป่าเขาลำเนาไพร มีแต่ต้นไม้ใหญ่และห้วยละหารธารน้ำใส สิงสาราสัตว์ต่างๆที่อาศัยอยู่ในป่าดง ทำให้มองเห็นสภาวะของโลกนี้เปลี่ยนแปลงไปอีกแบบหนึ่ง  ว่าโลกนี้มันมิใช่โลกของมนุษย์เท่าน้ัน มันเป็นของโลกของสัตว์และไม้ป่าทั้งหลาย   ทั้งสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ตลอดจนวิหคนกกานานาชนิด  มันอยู่กันในป่าอย่างมีอิสระเสรี และมีความสุขตามประสาสัตว์หากินผลไม้ใบหญ่าพออิ่มไปวันๆหนึ่ง ไม่ต้องกังวลถึงวันหน้า ไม่ต้องเก็บสะสมไม้จนเกินส่วน ไม่ต้องโลภมากในทรัพย์สมบัติ  แม้แต่ช้าง วัวกระะทิง มหิงสา ตัวใดใด มันก็กินแต่ยอดไม้ใบหญ้า  มีชีวิตอยู่ได้ไม่เดือดร้อน  ถึงจะมีสัตว์ที่กินสัตว์อื่นเป็นอาหาร  เช่น เสือหรือเหยี่ยว สัตว์จำพวกนี้ก็มีอยู่น้อย  ดูเหมือนธรรมชาติจะสร้างมันมาเพื่อคอยเก็บกินเจ้าสัตว์อ่อนแอ ช่วยตัวเองไม่ได้หรือเคราะห์ร้าย เผลอตัวเท่านั้น   แต่เจ้าสัตว์ร้ายๆพวกนี้เองที่ช่วยให้สัตว์อื่นประเปรียวว่องไว รู้จักหนีภัยอันตรายอยู่เสมอ  ทำให้มันเป็นสัตว์ที่ควรคู่จะอยู่ในป่าดง เวลาเหยี่ยวใหญ่บินมา บรรดานกเล็กนกน้อยทั้งหลายก็จะส่งเสียงร้องเตือนกันไปลั่นป่า  ให้ต่างคนต่างระวังตัว เวลาเสือเดินมาเหนือลม  พวกเก้งกวางสัตว์กินหญ้าทั้งหลายได้กลิ่นเสือ  มันจะทำหูชูชัน ส่งเสียงร้องขึ้นและวิ่งหนี  ทำให้เพื่อนๆ ของมันรู้ตัวว่ามีภัยมาถึงตัว  อย่าว่าแต่สัตว์ป่าเลย  แม้แต่ม้าที่เราเลี้ยงไว้ ถ้าขึ่เข้าป่าไปได้กลิ่นเสือ มันก็หยุด จะทำอย่างไรมันก็ไม่ยอมไป ต้องใช้หัวหอมทาจมูกกลบกลิ่นเสือเสียมันจึงจะยอมวิ่งต่อไป

    ธรรมชาติของป่าเขาลำเนาไพร อันสงบวิเวกใจนี้  ประกอบกับมีภัยอันตรายอยู่รอบด้าน  ทำให้ต้องมีสติอยู่ทุกขณะ  ทำให้ต้องรำลึกคุณพระรัตนตรัยอยู่ทุกเมื่อ  ทำให้ต้องเจริญสมถธรรมอยู่ตลอดเวลา  ในเวลาเดียวกันจิตก็สงบเป็นสมาธิได้รวดเร็ว  เพราะรู้สึกตัวว่าไม่มีที่พึ่งอื่น เราตัวคนเดียว  มีแต่พระรัตนตรัยเท่านั้นเป็นที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยว จึงต้องบำเพ็ญเพียรภาวนาทางจิตอยู่ทุกขณะย่างก้าวเดิน  เมื่อจิตสงบสงัดจากความวุ่นวายฟุ้งซ่านด้วยกิเลสเร่าร้อน สละเสียสิ้นแล้วซึ่งบาปกรรมทั้งหลาย   ยอมสละได้แม้แต่ชีวิตฝากไว้กับคุณพระเช่นนี้ ก็ทำให้จิตแน่วแน่เป็นสมาธิ มีกำลังปัญญากล้า  ธรรมะก็ผุดขึ้นในใจได้  เกิดความสว่างโพลงขึ้น  เห็นแจ้งในธรรมะบางอย่าง  แม้แต่ถ้อยคำบางคำที่เคยได้ยินได้ฟังมา ฟังผ่านๆหูไป  เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างก็เกิดความเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้ง  เช่นคำว่า  "เอาสติเป็นหางเสือ ถือท้ายเรือไว้ให้เที่ยง"   ก็เข้าใจได้ชัดเจนว่า   สติคือความรู้สึกตัวอยู่ทุกขณะจิต ว่าเรากำลังทำอะไร  กำลังคิดอะไรอยู่ในขณะนั้น   ปัญญาคือความสว่างโพลงขึ้นในดวงจิต ความรู้แจ้งแทงตลอดในใจว่าอะไรเป็นอะไร  มันเป็นอาการที่แจ่มสว่าง  เห็นทะลุปรุโปร่งขึ้นในใจเรา 

     การเดินธุดงค์บำเพ็ญสมณธรรมนี้  ทำให้เกิดสติปัญญาขึ้น มีธรรมะผุดสว่างโพลงขึ้นได้เอง ทำให้ระลึกถึงพระพุทธองค์ว่า ถ้ามิได้ทรงออกบวชบำเพ็ญสมณธรรมในป่า  ก็ไม่สามารถตรัสรู้อริยสัจธรรมได้   นึกถึงพระอริยสงฆ์สาวกว่า ท่านสำเร็จอริยมรรคได้ ก็เพราะการถือธุดงควัตร  นึกถึงคำหลวงพ่อทาได้ว่า  ถึงใครจะเรียนจบพระไตรปิฎก ก็เป็นนักปราชญ์ถือคัมภีร์เปล่า ไม่สามารถจะสำเร็จมรรคผลอันใด ผู้ที่จะบรรลุพระโสดาบันเป็นพระอริยบุคคลได้  ต้องถือธุดงควัตรทำให้เข้าใจว่า การที่พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาสั่งสอนพระสาวก สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลได้นั้น มิใช่สำเร็จด้วยการฟังเพียงอย่างเดียว  ท่านผู้นั้นต้องสั่งสมบารมีธรรมมาแล้วในอดีต เป็นผู้มีศีลมีสัตย์ได้อบรมจิตในทางสมณธรรมมาแล้ว เมื่อได้ฟังตรัสเทศนา จึงเกิดปัญญารู้แจ้ง ท่านผู้นั้นจะต้องละบาปบำเพ็ญบุญมาก่อนแล้วทั้งสิ้น  ดังเช่น พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตรเป็นต้น   คนสมัยน้ันคงจะมีจิตใจฝักใฝ่ในธรรมอยู่เป็นปกตินิสัย จึงฟังธรรมบรรลุธรรมภิสมัยได้   ถึงคนเราสมัยนี้ เกิดมามิได้พบพระพุทธองค์ แต่ถ้ามีความตั้งใจเดินโดยทางอริยมรรค ๘ ประการ บำเพ็ญสมณธรรมถูกแบบแผนไม่ทอดทิ้งเสียก็คงจะสำเร็จมรรคผลได้  การศึกษาพระธรรมในทางพระพุทธศาสนาน้ันมีบันได ๓ขั้น คือ เรียนปริยัติขั้นแรก เรียนปฎิบัติขั้นสอง จิตจึงจะก้าวเข้าสู่ปฎิเวธขั้นที่สาม  ถ้าเรียนแต่ปริยัติจะก้าวขึ้นสู่ปฎิเวธไม่ได้เลย

     หลวงพ่อแช่ม  ก็เกิดปัญญาเข้าใจเรื่องไตรสิกขา คือการศึกษาสามขั้น คราวนี้ออกป่าถือศีลเป็นนิจศีล ทำสมาธิให้เกิด เมื่อเกิดสมาธิจิตแล้ว จะเกิดปัญญา  คำว่า ปัญญา คือรู้แจ้งแทงตลอดในธรรมะ คำว่า ธรรมะ คือ ธรรมดา ธรรมชาติ ของโลกและชีวิตที่เป็นจริงแท้เป็นความจริงอันสูงสุด ประเสริฐสุดของโลกนั่นเอง 

     หลวงพ่อแช่ม เดินทางธุดงค์ไป สติปัญญาก็บังเกิดแก่กล้่า  แจ่มแจ้งขึ้นเรื่อยๆเหมือนสายฝนที่หลั่งหล่นลงจากฟากฟ้าไม่มีขาดเม็ด ขณะน้ันหลวงพ่อแช่ม ลืมวัด ลืมบ้าน ลืมมารดาบิดาญาติพี่น้อง  เหมือนชีวิตอยู่ตรเดียวในโลก ชีวิตเหมือนธุลีน้อยๆที่ลอยไปตามกระแสลม  มีแต่ความเบากาย สบายใจ ไร้ห่วง ไร้กังวลทุกสิ่งทุกอย่าง  ไม่ติดข้องอยู้ในสิ่งใดเลย  ชีวิตเป็นสุขอย่างบอกไม่ถูก 

    เดินทางข้ามป่า ข้ามทุ่ง ข้ามท่า ข้ามห้วย ข้ามเขา เรื่อยไป ค่ำไหนก็ปักกลดอธิษฐานจิตพักผ่อนอยู่ชั่วราตรี เช้าก็บิณฑบาตรเลี้ยงชีพเรื่อยไป บางทีก็ไม่เจอบ้านคนเลยก็เคยมีบ่อยๆ อยากน้ำก็กินน้ำตามลำห้วยธาร  ไม่มีอาหารบิณฑบาตรก็เก็บผลไม้ในป่ามาขบฉันไปมื้อหนึ่งๆ  บางทีข้าวก็ไม่ตกถึงท้องเลยถึง ๒-๓ วัน  ก็พอทนอยู่ได้ไม่หิวอะไรนักหนาด้วยกำลังใจนั้นแก่กล้า ศรัทธามั่นคง ถึงที่สุดเข้าจริงๆ ก็สวดมนต์ภาวนาอธิษฐานถึงคุณพระพุทธเจ้า  ผู้เป็นทั้งพระบรมศาสดาและพระบิดาของลูกพระตถาคต  อ้างเอาศีลสัตย์ที่ได้บำเพ็ญมาไม่ด่างพร้อย อ้างเอาเทพยดาที่เป็นทิพยเนตรทิพโสตมาเป็นพยาน  รุงเช้าออกไปบิณฑบาตรก็ได้ข้าวมาสมดังใจปรารถนา  ไม่รู้ว่าเขามาแต่ไหน ถ้าเป็นคนธรรมดา  หรือว่าเทวดาก็ไม่เชิง แต่หลวงพ่อท่านสั่งห้ามไม่ให้ตั้งข้อสงสัย คิดลามกอะไร ให้รับอาหารเขาที่ถวายเท่านั้น  หลวงพ่อแช่มเกิดความมั่นใจว่าบวชเป็นลูกพระตถาคตนี้ไม่อดตายแน่  เพราะบารมีท่านมากเหลือเกิน  เสด็จปรินิพานไปแล้วตั้ง ๒๕๐๐ กว่าปีแล้ว ยังคุ้มครองมาถึงพระภิกษุในพระศาสนา 

    ส่วนสัตว์ร้ายในป่าที่ต้องระวัง ก็มี งู เสือ ช้าง หมี วัวกระทิง มหิสา ๖ ชนิดนี้ บางทีได้พบปะกัน บางทีก็แคล้วคลาดกันไป  แต่ถ้าพบปะเจอะเจอเขาเข้าแล้ว  ก็ไม่หันหน้าหนี ต้องใจมั่นคงไม่หวั่นไหว  มีความเชื่อมั่นในพระพุทธคุณ  และบุญกุศลของเรา ต้องแผ่เมตตาจิตแก่เขา ถ้ากำลังเดินทางอยู่ก็ต้องหยุดยืนนิ่ง  เพ่งมองเขาด้วยสายตาที่เป็นมิตร มีเมตตาจิต พูดกับเขา ถ้าเป็นเสือลายพาดกลอนตัวโตเท่าลูกวัว ก็พูดว่า "นี่แนะ เจ้าเสือเอ๋ยเจ้าก็เป็นสัตว์โลกชนิดหนึ่ง เราก็เป็นสัตว์โลกชนิดหนึ่ง เราต่างคนต่างเกิดมา ไม่เคยเห็นหน้ากัน ไม่เคยมีเวรมีภัยแก่กัน ก็ขอให้เราต่างคนต่างอยู่อย่าทำร้ายเบียดเบียนกัน  ให้เป็นเวรเป็นภัยสืบต่อไปเลย  ขอให้เราต่างคนต่างไปตามประสาของเรา เราไม่เคยเบียดเบียนสัตว์อื่น เราเข้าป่ามาเพื่อบำเพ็ญบุญกิริยาวัตร เพื่อสืบพระศาสนา ให้ความสุขแก่สัตว์อื่น ทั้งในชาตินี้และชาติหน้า  ขอให้เจ้าหลีกทางให้เราเสีย ขอบุญกุศลที่เราบำเพ็ญมาจงคุ้มครองเจ้าให้มีความสุขเถิด" พูดอย่างนี้บางทีมันก็หลีกเราไป อย่างมากก็ส่งเสียงคำรามลั่นป่าเท่านั้น  มันไม่เคยทำอันตรายเราเลย  เวลากลางคืนเราปักกลดมันก็มาเดินวนเวียนอยู่ใกล้ๆ เราก็สวดมนต์ภาวนาแผ่เมตตาจิตให้มัน มันก็ไม่เคยล่วงล้ำกรดเราเลย  ส่วนช้างน้ัน มันไปไหนกันเป็นโขลงๆ  ได้ยินเสียงมาแต่ไกล เรารู้ว่ามันอยู่ทางไหน ก็หลีกหลบไป จวนตัวเข้าจริงๆ ก็ต้องตั้งจิตภาวนาให้มั่นคง ไม่หวั่นไหว พูดกับมันว่า " พงศ์พันธ์ของเจ้าก็เคยอุปัฎฐากพระพุทธองค์ ไม่เคยทำร้ายพระพุทธองค์ เราก็ลูกหลานพระตถาคต เจ้าก็สืบเชื้อสายมา ขอจงอย่าทำร้ายเบียดเบียนกันให้มีเวรสืบไปเลย ขอให้เราต่างคนต่างอยู่ หลีกกันไป"  ช้างมันก็ไม่เคยเข้ามาแทงมาเหยียบย่ำทำอันตรายเลย  ควายป่า มหิสา โคไพร ก็เช่นกัน ก็มีวิธีต่อสู้กับมันด้วยจิตที่เหนือกว่า มั่นคง เข้มแข็งกว่า  แผ่เมตตาให้เขา  ก็ไม่มีอันตรายใดใด 

     ข้อสำคัญเวลาปักกลดจำวัดแล้ว  ก่อนนอนต้องสวดมนต์แผ่เมตตาจิตด้วยบทพระคาถากรณีเมตตาสูตร  รัตนสูตร พาหุง ๘ บท พระอรหันต์๘ ทิศ แล้วสวดแผ่เมตตาแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ตลอดจนผีสางเทวดา เจ้าป่า เจ้าเขา 

     นอกจากนั้นก็ต้องสวดบทกรวดน้ำของโบราณ คือบทอิมินา แผ่บุญกุศลให้แก่สรรพสัตว์ทั่วหน้า  ตลอดจนผีสางเทวดาอารักษ์เจ้าทุ่งเจ้าป่าเขาทั้งหลาย  

     เมื่อหลวงพ่อแช่มไปบำเพ็ญภาวนาในป่าใหญ่ สติปัญญาก็แก่กล้าสว่างไสว มีศรัทธามั่นคงอยู่ในคำสอนของพระตถาคต ผู้เป็นพระบรมศาสดา ได้สติปัญญาว่า โลกนี้ยังคงเป็นอยู่เช่นนี้สืบไปอีกชั่วกัปป์ชั่วกัลป์ แต่ชีวิตมนุษย์เกิดมาแล้วก็อยู่เพียงชั่วอายุหนึ่ง  ไม่กี่สิบปี ถ้าเทียบเวลาของโลก ก็ชั่วครู่ชั่วยาม ชีวิตจึงเหมือนฟองน้ำ เกิดแล้วดับไป เป็นอยู่เช่นนี้ ไม่รู้กี่แสนชาติ กี่ล้านชาติ เมื่อเราเกิดมาในชาตินี้ จึงควรบำเพ็ญบุญบารมีเพื่อว่าตายไปเกิดใหม่ จะได้เกิดในที่ดีกว่า ประเสริฐกว่า เพราะคนเราตายแล้วต้องเกิด จะเกิดเป็นอะไร ก็สุดแต่บุญกรรมที่ทำไว้ในชาตินี้ 

     


(โปรดติดตามตอนต่อไป)
      

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น