วันอังคารที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2561

หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง (ตอน ทางรกวกขึ้นสวรรค์)

ทางรกวกขึ้นสวรรค์ 

      คำพังเพยโบราณกล่าวไว้ว่า 
     " ทางเตียนเวียนลงนรก ทางรกวกขึ้นสวรรค์"

     เมื่อคิดดูให้ดีจะเห็นได้ว่า ในโลกนี้ถ้าชีวิตของใครใฝ่แต่หาความสะดวกสบาย มัวหลงเพลิดเพลินอยู่ในทางสนุกสนาน ไม่หมั่นศึกษาหาความรู้ ไม่อุตสาหะพยายามประกอบการงาน เอาแต่กิน แต่เล่น แต่สนุก คบเพื่อนชั่ว กินเหล้า เล่นการพนัน ท่านว่าผู้นั้นกำลังเดินไปสู่อบาย  อบายกับสบายมันคู่กัน  ทางสบายย่อมทำให้เพลิดเพลินมัวเมา ลืมตัว ลืมคุณงามความดี ในที่สุดก็จะนำพาไปสู่อบาย  ไปสู่ที่ชั่วที่ต่ำ ยากจน ต่ำต้อย  ไร้เกียรติยศชื่อเสียง  นั้นแหละคือทางเตียนลงนรก 
     แต่คนที่อุสาหะพยายามหมั่นศึกษาเล่าเรียน  หมั่นประกอบการอาชีพด้วยความอุตสาหะบากบั่น ฟันฝ่าอุปสรรคในชีวิต ไม่ย่อท้อต่อความลำบาก ไม่เอาแต่กินนอน เที่ยว ผู้นั้นย่อมพาตัวขึ้นที่สูง  มีเงินทอง มีเกียรติยศชื่อเสียง เหมือนการเดินทางขึ้นภูเขาในที่สุดจะถึงยอดเขาได้ นี่คือ ทางรกวกขึ้นสวรรค์

     ชีวิตหลวงพ่อแช่ม เป็นชีวิตที่เห็นได้ชัดตามคำพังเพยนี้  ท่านเกิดเป็นลูกชาวนายากจน  ต้องนอนใต้ถุนเรือน หน้าคอกวัว  เป็นชีวิตที่อับเฉาอาภัพ จนต้องออกท่องเที่ยวขอทานเขาเลี้ยงชีพ แต่ด้วยความอุตสาหะบากบั่น จึงได้เก็บเงินทองไว้บวชตัวเองได้  เมื่อบวชแล้วก็มีความอุตสาหะบากบั่นเล่าเรียนวิชาที่ตนสนใจ  และเป็นประโยชน์แก่ตน ได้ออกธุดงค์ท่องเที่ยวไปถึงต่างถิ่นต่างแดน ยอมฝนทั่งเป็นเข็ม  ออกต่อนกในป่าเพื่อแลกกับการเรียนวิชาให้จงได่ มิได้คิดย่อท้อ จนได้เรียนวิชาสมใจจึงกลับมาอยู่บ้านเกิดเมืองนอน  บำเพ็ญกรณีกิจช่วยญาติโยมตามสติปัญญาและวิชาที่เรียนมา  จนกระทั่งมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วบ้านเมือง 
   ถูกแล้ว วิชาไสยศาสตร์น้ัน ท่านนักปราชญ์ท่านติเตียนว่าเป็นเดรัจฉานวิชา ไม่สามารถนำทางไปสู่มรรคผลนิพพานได้  แต่วิชาไสยศาสตร์ก็ไม่ใช่วิชาต่ำชั่วเหมือนสัตว์เดรัจฉานตามที่เข้าใจกัน  ในสมัยที่วิทยาศาสตร์ยังไม่เจริญมนุษย์จำเป็นต้องหาที่พึ่ง  ก็ได้วิชานี้เป็นที่พึ่ง  แม้พระพุทธเจ้าก็ทรงเชี่ยวชาญ  และทรงใช้วิชานี้ปราบพยศคนที่อวดเก่ง แตพระพุทธองค์ทรงใช้อำนาจทางจิต มิได้ใช้เครื่องรางของขลังแต่อย่างใด  แต่อาจารย์ทางไสยศาสตร์อำนาจจิตไม่สูงถึงขั้นฌานสมาบัติจึงต้องใช้เครื่องราง คาถาอาคมประกอบด้วย 
     ไสยศาสตร์ก็คือ จิตศาสตร์อย่างหนึ่งน้ันเอง  เช่นการรดน้ำมนต์ เพ่งกระแสจิต การอธิษฐานจิตด้วยอาศัยอำนาจคุณพระรัตนตรัย ตั้งจิตปรารถนาไปสู่ความสุขสวัสดิ์ ให้หายโรคหายไข้ สิ้นความเศร้าหมอง สิ้นเคราะห์สิ้นสิ้นโศก นับเป็นที่พึ่งทางใจอย่างหนึ่ง 
     ในสมัยพระพุทธองค์ เมืองไพศาลีมีโรคระบาด  ทางบ้านเมืองไม่สามารถช่วยได้  พระพุท่ธองค์ทรงโปรดให้สวดพระปริตต์ บันดาลให้ฝนตกชำระเมืองให้สะอาด ทำน้ำมนต์รักษาโรคภัยแก่ชาวเมือง โรคก็สงบราบคาบลงด้วยอำนาจพระพุทธมนต์ 
     ประวัติชีวิตของหลวงพ่อแช่ม  ที่สำคัญอีกประการคือการธุดงควัตร หลวงพ่อแช่มเป็นพระป่า  การธุดงค์น้้นคือการฝึกฝนอบรมตนในทางพระพุทธศาสนา เพื่อจะประหารกิเลสตัณหา การถือธุดงค์เป็นการปฎิบัติอันสำคัญอย่างยิ่ง  
     การถือธุดงค์มีองค์ ๑๓ เรียกว่า "ตทังควัตร"   แปลว่าการถือปฎิบัติ ๑๓ ประการคือ 
     ๑. ถือแต่ผ้าบังสกุลเป็นวัตร  ผ้าอื่นไม่ใช่นุ่งห่มอย่างหนึ่ง
     ๒. ถือแต่ผ้าไตรจีวรสามผืนเป็นวัตร ไม่ใช้ผ้าเกิน ๓ ผืนอย่างหนึ่ง
     ๓. ถือท่องเที่ยวบิณฑบาตรเป็นวัตร ไม่ขาดไม่เว้นการบิณฑบาตรอย่างหนึ่ง
     ๔. ถือการบิณฑบาตรบ้านเดียวแถวเดียวเป็นวัตร ไม่บิณฑบาตรบ้านอื่นแถวอื่นอย่างหนึ่ง
     ๕. ถือการบริโภคอาหารอาสน์เดียวเป็นวัตร  เมื่อลุกจากที่นั่งแล้ว ไม่บริโภคอีกอย่างหนึ่ง
     ๖.ถือการบริโภคอาหารแต่ในบาตรเดียวเป็นวัตร อาหารนอกบาตรที่มีผู้ถวายภายหลังไม่บริโภคอย่างหนึ่ง
     ๗.ถือการบริโภคอาหารที่ได้มาจากบิณฑบาตรเป็นวัตร ไม่บริโภคอาหารที่ได้มาอย่างอื่นเป็นวัตร
     ๘. ถือเอาการอยู่ป่าเป็นวัตร  ไม่อยู่ในวัด ในบ้าน ในเมืองอย่างหนึ่ง
     ๙.ถือเอาการอยู่โคนต้นไม้เป็นวัตร ไม่เข้าอยู่ในโรงเรียน กุฎิอย่างหนึ่ง
     ๑๐.ถือเอาการปักกลดอยู่กลางแจ้งเป็นวัตร ไม่อยู่โคนต้นไม้ อยู่ถ้ำ อยู่โรงเรียนอย่างหนึ่ง
     ๑๑.ถือเอาการอยู่ป่าช้าเป็นวัตร ไม่อยู่ที่อื่นอย่างหนึ่ง
     ๑๒. ถือเอาการอยู่ในเสนาสนะที่ท่านจัดไว้ให้อยู่อย่างไรก็อยู่อย่างน้ัน  ไม่ขยับขยายขวนขวายอยู่ในที่ดีกว่าอย่างหนึ่ง
     ๑๓. ถือเอาการนั่งเป็นวัตร ไม่นอนเลยอย่างหนึ่ง (คือจะหลับก็หลับโดยการนั่ง)  

     ผู้ที่ปรารถนาจะบวชเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพาน จึงจำเป็นต้องถือธุดงควัตรข้อใดข้อหนึ่งให้ได้เพื่อเป็นการปฎิบัติ ชำระกิเลสให้บริสุทธิ์ การถือธุดงควัตร จึงเป็นของที่ทำได้ยากมาก 
     บุคคลที่สามารถจะถือธุดงค์ได้ จะต้องประกอบด้วยคุณสมบัติ ๑๐ ประการ
     ๑. เป็นผู้มีความเชื่อมั่น
     ๒.เป็นผู้มีหิริ คือความละอายต่อบาป
     ๓. เป็นผู้มีปัญญา
     ๔. เป็นผู้ไม่มีจิตคดโกง
     ๕. เป็นผู้รู้จักคุณของธุดงค์
     ๖. เป็นผู้ไม่มีจิตโลเล
     ๗. เป็นผู้ใคร่ต่อการฝึกอบรมตน
     ๘. เป็นผู้ถือธุดงค์ได้มั่นคง
     ๙. เป็นผู้ไม่ชอบยกโทษตนเอง
    ๑๐. เป็นผู้มีจิตประกอบด้วยเมตตาพรหมวิหาร 
     ผู้ถือธุดงค์จะต้องมีคุณสมบัติ ๑๐ ประการนี้ จะขาดเสียอย่างหนึ่งอย่างใดมิได้ เมื่อถือธุดงค์แล้วจึงจะเป็นผู้กระทำให้แจ้งถึงมรรคผลนิพพานได้ 
     แม้ผู้ถือธุดงค์แล้วยังไม่สามารถกระทำให้แจ้งถึงมรรคผลนิพพานได้ เพราะบุญบารมีได้สั่งสมมาน้อย ก็ย่อมจะทำให้ได้คุณธรรม ๑๘ ประการคือ 
     ๑. เป็นผู้มีมารยาทบริสุทธิ์ดี
     ๒. เป็นผู้มีปฎิปทาอันสุจริต
     ๓. เป็นผู้รักษากาย วาจา ได้ดี
    ๔. เป็นผู้มีจิตผ่องใส
    ๕. เป็นผู้มีความขยัน 
    ๖. เป็นผู้ระงับได้ซื่งความกลัว
    ๗. เป็นผู้สละเสียได้ ซึ่งถ้อยคำอันเป็นทิฎฐิของตน
    ๘. เป็นผู้ระงับเสียซึ่งความอาฆาตจองเวร
    ๙ เป็นผู้มีจิตประกอบด้วยเมตตา
    ๑๐เป็นผู้รู้จักกำหนดในการบริโภคอาหาร
    ๑๑ เป็นผู้มีจิตหนักในสัตว์ทั้งปวง
    ๑๒.เป็นผู้ประมาณการบริโภค เครื่องนุ่งห่ม
    ๑๓. เป็นผู้มีความเพียรพยายาม อันเป็นลักษณะของผู้ตื่นอยู่เสมอ 
    ๑๔. เป็นผู้ไม่มีความอาลัย
    ๑๕.เป็นผู้อยู่ที่ไหนก็สงบที่นั่น
    ๑๖. เป็นผู้มีความละอายต่อบาป
    ๑๗.เป็นผู้ยินดีอยู่ในวิเวก 
    ๑๘.เป็นผู้ไม่ประมาท 

     ผู้ที่ถือธุดงค์ท่านกล่าวว่า ย่อมเป็นผู้เพียบพร้อมด้วยคุณธรรมอันประเสริฐ ๓๐ ประการคือ 
     ๑. เป็นผู้มีจิตเมตตา
     ๒. เป็นผู้กำจัดกิเลสเสียได้
     ๓. เป็นผู้กำจัดความถือตัวได้
     ๔. เป็นผู้มีความเชื่อมั่นคง
     ๕. เป็นผู้ได้รับความสุขอย่างประณีต
     ๖. เป็นผู้มีกลิ่นหอมด้วยศีล
     ๗. เป็นผู้มีมนุษย์และเทวดารักใคร่
     ๘. เป็นผู้สำเร็จมรรคผลเป็นพระอริยเจ้า
     ๙. เป็นผู้ที่เทวดาและมนุษย์กราบไหว้บูชา
     ๑๐. เป็นผู้ที่หมู่บัณฑิตสรรเสริญ
     ๑๑. เป็นผู้ไม่ติดข้องในโลก
     ๑๒. เป็นผู้พิจารณาเห็นภัยในโลก 
     ๑๓. เป็นผู้ทำประโยชน์ให้แก่มหาชน
     ๑๔. เป็นผู้ที่มหาชนบูชาด้วยลาภสักการะ
     ๑๕. เป็นผู้ไม่ติดที่
     ๑๖. เป็นผู้มีญาณเป็นวิหารธรรม
     ๑๗.เป็นผู้รื้อข่าย คือกิเลสที่ข้องอยู่
     ๑๘. เป็นผู้ตัดคติที่กีดกั้นได้เด็ดขาด
     ๑๙. เป็นผู้มีธรรมลามกไม่กำเริบ
     ๒๐ เป็นผู้ที่อยู่อันจัดไว้โดยเฉพาะ
     ๒๑. เป็นผู้บริโภคสิ่งที่หาโทษมิได้
     ๒๒. เป็นผู้พ้นแล้วจากคติ
     ๒๓. เป็นผู้ไม่มีความสงสัย 
     ๒๔. เป็นผู้ที่มีตนถึงแล้วซึ่งวิมุติ 
     ๒๕. เป็นผู้มีธรรมจักษุอันเห็นแล้ว
     ๒๖. เป็นผู้ไม่หวาดกลัวสิ่งใด
    ๒๗. เป็นผู้อนุสัยถอนขึ้นแล้ว
     ๒๙. เป็นผู้มีสมบัติคือความสุขอย่างสุขุม เป็นวิหารธรรม 
     ๓๐. เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยสมณคุณ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา  

     ชีวประวัติของหลวงพ่อแช่ม จะเห็นได้ว่า ท่านได้ถือธุดงค์โดยเคร่งครัด เช่นการห่มสบงจีวร ๓ ผืนเท่านั้น การไม่อาบน้ำเลย ท่านเป็นพระภิกษุที่มีคนเคารพกราบไหว้ อุดมด้วยลาภสักการะจนตลอดชีวิต  จึงควรที่พุทธศาสนิกชนจะได้สนใจศึกษา ปฎิปทาของท่าน ที่ข้าพเจ้าเพียรเขียนขึ้นหวังจะเป็นเครื่องเตือนใจและเพิ่มพูนความรู้ความคิดให้กว้างขวางออกไปกว่าเรื่องราวที่ได้ยินได้ฟังกันมา  

     
     

หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง (ตอน พินัยกรรมมรดก)

พินัยกรรมมรดก 

     เมื่อโตเป็นหนุ่ม ข้าพเจ้าชอบไปคุยกับหลวงพ่อแช่ม  ไปอย่างเด็กวัดทั่วไปที่สนิทสนมกับพระ  เพราะรู้สึกสนใจแบบวิธีการบำเพ็ญประโยชน์ของท่าน หลวงพ่อแช่มคุยอะไรต่ออะไรให้ฟังมาก บางทีก็พูดถึงคาถาอาคมให้ฟัง ท่านว่าคาถาทุกบทจะสำเร็จได้ด้วยธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ  ที่เป็นปัจจัยให้เกิดชีวิตและสรรพสิ่งในโลก  เมื่อว่าคาถาแล้วจึงต้องประกอบด้วยดิน น้ำ ลม ไฟ, ดิน น้ำ ลม ไฟ นี้ท่านใช้คำว่าเป็นตัวคาถาแทนชื่อว่า  "นะ มะ พะ ทะ " จึงจะประสิทธิเม  
     ท่านว่าเคยมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แล้ว ๕ พระองค์  จะมาตรัสรู้ภายหน้าในอนาคตอีกแสนไกลอีกองค์หนึ่ง  คือ  พระศรีอารย์   ตัวคาถาใช้แทนพระนามพระพระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์นี้ว่า "นะโมพุทธายะ"   เรียกว่า คาถาพระเจ้า ๕ พระองค์  โลกนี้ไม่มีใครสูงสุดประเสริฐสุดยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าอีกแล้ว   คาถาที่ศักดิ์สิทธิ์จึงไม่พ้น  คาถาพระเจ้า ๕ พระองค์ คือ "นะโมพุทธายะ"  แต่ต้องมีคาถาอื่นประกอบ  
     คาถาเมตตามหานิยม ใช้คาถาว่า  "นะ ชา ลี ติ"  เป็นคาถาทางเมตตามหานิยม มหาโชค มหาลาภ 
     คาถา "มะ อะ อุ"  นี้แทนนามพระพรหม พระอิศวร พระนารายณ์ 
     คาถา "พุท ธะ สัง มิ"  เป็นหัวใจพระรัตนตรัย พุทธ คือ พระพุทธเจ้า ธะ คือ พระธรรมเจ้า สัง คือ พระสังฆเจ้า  มีคือ ตัวโลก คาถานี้เป็นยอดศีล ยอดทาน  ยอดบุญกุศลทุกประการ 
      คาถา ""อะ สัง วิ สุ โล ปุ สะ พุ ภะ"  เป็นคาถายอดหัวใจพระพุทธคุณ เรียกว่า"นวหรคุณ"   ใช้ภาวนาป้องกันสรรพภัยอันตรายทุกสิ่งทุกประการ 
     พระคาถาอิติปิโสถอยหลัง  " ติ วา คะ ภะ โธ พุท นัง สา นุส มะ วะ เท ถา สัต ถิ ระ สา มะ ทัม สะ ริ ปุ โร ตะ นุต อะ ทู วิ กะ โต คะ สุ โน ปัน สัม ณะ ระ จะ ชา วิ โธ พุท สัม มา สัมหัง ระ อะ ว่า คะ ภะ โน ปิ ติ อิ"   เป็นคาถาชนะหมู่มาร สรรพทุกข์สรรพโศก โรคภัยต่างๆ  

      ข้าพเจ้าถือว่า คาถาคือมรดก  วัฒนธรรมทางจิตใจของชาติไทยอย่างหนึ่ง ที่ควรรักษาไว้  เพราะเป็นของมีคุณค่า  ถ้ารู้จักนำของดีของคนโบราณมาใช้  

     หลวงพ่อแช่ม บวชมาต้ังแต่อายุ ๒๐ ปีจนอายุ ๙๘ ปีเศษ เป็นเวลานานถึง ๗๘ ปีเศษ ที่่ใช้ชีวิตอยู่ในร่มกาสาวพัสตร์  นอกจากบวชตลอดชีวิตแล้ว หลวงพ่อแช่มยังได้บวชผู้อื่น อันเป็นการสืบต่ออายุพระพุทธศาสนาอีกด้วย 

     คราวหนึ่งท่านเดินทางไปตลาดเมืองนครปฐม ไปถูกหมากัด จนเท้าบวมเดินไม่ได้อยู่หลายวัน แต่ท่านก็ไม่ได้เป็นอะไร 
     ในที่สุดท่านล้มป่วย เป็นการป่วยคร้ังแรกและคร้ังเดียวในชีวิต  นอนป่วยอยู่หลายวัน  ในที่สุดท่านก็ถึงแก่มรณภาพ ณ กุฎิศาลาดินมุงจากของท่านน้ันเอง 

     วันถึงแก่มรณภาพ ข้าพเจ้าได้ไปที่กุฎิท่าน มีลูกศิษย์ ลูกหลานและญาติโยมไม่เกิน ๑๐ คน  
     ข้าพเจ้ายังจำภาพได้ติดตาจนถึงทุกวันนี้  เป็นเรื่องประหลาดในความรู้สึกของข้าพเจ้า  คืองัวของหลวงพ่อแช่มมีอาการหงอยเหงาเศร้าโศก เหมือนมันมีปัญญารู้ว่าหลวงพ่อแช่ม ร่มโพธิ์ร่มไทรของมันสิ้นบุญแล้ว  บางตัวมันร้องไห้มีน้ำตาไหลเป็นทาง  ทุกวันพระเวลาประมาณ ๖.๓๐ น. มันจะออกจากคอกไปเป็นฝูงเพื่อหาหญ้ากิน แต่วันนี้มันยืนนิ่ง  เงียบเหงาทุกตัวไม่เคลื่อนไหวกันเลย 
   

วันเสาร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2561

หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง (ต้องอธิกรณ์)

ต้องอธิกรณ์

     เป็นธรรมดาโลก ใครก็หนีไม่พ้นธรรมดาโลก มีลาภ มียศ มีสุขสรรเสริญ มีเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์  หลวงพ่อแช่มก็หนีกฎธรรมดานี้ไม่พ้น  คนนับถือท่านมาก็จริงแต่มักจะเป็นคนที่มาจากต่างเมือง  แต่มีอีกพวกที่ตั้งข้อรังเกียจ เพ่งโทษจับผิดท่านอยู่ นินทาว่าร้ายว่าท่านเป็นพระพิเรนทร์ ไม่สวดมนต์ทำวัตรเช้าเย็น  ไม่ลงฟังสวดพระปาฎิโมกข์ในวันพระ ไม่บิณฑบาตรโปรดสัตว์ ไม่ปฎิบัติภารกิจสงฆ์ ไม่อยู่ในปกครองของเจ้าอาวาส 

     เพราะคนพวกหนึ่ง มองเห็นว่าหลวงพ่อแช่มทำอะไรแผลงๆ  อวดฤทธิ์อวดเดช เขาจึงคอยเพ่งโทษคอยจับผิด  คอยนินทาว่าร้ายท่านอยู่เสมอ จนในที่สุดก็มีหนังสือร้องเรียนกล่าวโทษหลวงพ่อแช่มไปถึงเจ้าคณะจังหวัด  คำฟ้องร้องน้ันทราบว่ามีข้อกล่าวหาฉกรรจ์อยู่หลายข้อ  พอจะสรุปประเด็นได้ดังนี้

     ๑. ไม่ยอมอยู่ในปกครองของเจ้าอาวาส
     ๒.ไม่บอกเล่าให้ทราบว่าจะไปไหน ไปทำอะไรที่ไหน
     ๓. หายไปจากวัดหลายๆวันเสมอ ไม่ทราบว่าไปทำอะไรที่ไหน
     ๔. ไม่ปฎิบัติกิจของสงฆ์ เช่นไม่สวดมนต์ทำวัตรเช้าเย็น พร้อมกับ       ภิกษุสงฆ์อื่นในวัด
     ๕. ไม่ลงฟังพระสวดปาฎิโมกข์ในวันพระ
     ๖. ไม่ออกบิณฑบาตรโปรดสัตว์ ตามธรรมเนียมของภิกษุ
     ๗. หุงข้าวกินเอง ตั้งครัวทำครัวเหมือนชาวบ้าน 
     ๘. รดน้ำมนต์ ให้หวย ทำเสน่ห์ เป็นหมอรักษาไข้ให้ชาวบ้าน 
     ๙. อวดอิทธิฤทธิ์ปาฎิหารย์ต่างๆ 

     คร้ันแล้วเจ้าคณะจังหวัด พร้อมด้วยคณะผู้ติดตามมีเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล ก็เดินทางมาสอบสวนหลวงพ่อแช่มถึงวัดตาก้อง  เจ้าคณะจังหวัดปรึกษากันว่าควรจะไปที่กุฎิของหลวงพ่อแช่ม เพราะจะได้ดูสถานที่อยู่ของท่านประกอบการพิจารณาด้วย  เมื่อไปถึงก็พบหลวงพ่อแช่มนุ่งสบงผืนเดียว นั่งขัดสมาธิคอยอยู่ที่พื้นกระดานแผ่นใหญ่ ปูอยู่กับพื้นดิน มีไม้ขอนรองวาง ไม่มีตั่ง ไม่มีเก้าอี้ ไม่มีม้านั่งไม่มีหมอนอิง แม้กระทั่งเสื่อก็ไม่มีปูรอง  เจ้าคณะตำบลที่ไปด้วยต้องบอกให้ท่านไปครองจีวรเสียให้เรียบร้อย แล้วชี้แจงให้รู้จักว่า นั่นเจ้าคณะจังหวัด ให้มานมัสการกราบไหว้ท่าน เพราะท่านเป็นเจ้าคณะใหญ่ผู้ปกครองสงฆ์ชั้นสูง  หลวงพ่อแช่มก็ยังเฉยอยู่ บอกแก่เจ้าคณะตำบลว่าผมไม่ใช่พระใช่เจ้าอะไรแล้ว  เป็นจำเลยให้เขาฟ้องร้อง อยากให้สอบสวนกัน ดีร้ายจะได้ถอดสบงสึกง่ายๆ ไม่ต้องครองจีวรให้เสียเวลา เจ้าคณะจังหวัดต้องปลอบชี้แจงอยู่นานว่าไม่ใช่จำเลย ไม่ใช่นักโทษอะไร  เพียงแต่ถูกอธิกรณ์ข้อกล่าวหา จะสอบสวนกันไปก่อน ถ้าผิดจึงจะลงโทษ เจ้าคณะจังหวัดบอกว่า นี่แน่ะท่านแช่ม ถ้าท่านเป็นพระถือศีลบริสุทธฺ์อยู่ก็ให้ท่านไปห่มจีวรให้เรียบร้อยก่อน หลวงพ่อแช่มจึงลุกขึ้นคว้าจีวรมาห่ม 

     เมื่อท่านเจ้าคณะจังหวัดกวาดสายตามองดูรอบๆ เห็นสภาพที่อยู่อาศัยอันเรียกว่ากุฎิของหลวงพ่อแช่ม อันเป็นศาลาโรงดิน มุงจาก ปราศจากฝากั้นทั้งสี่ด้าน ไม่มีพื้นกระดานปูนอกจากกระดานปูนอนอยู่บนพื้นดินเพียงรองนอนสำหรับตัวท่านเอง  ดูเหมือนเจ้าคณะจังหวัดจะเปลี่ยนใจและเปลี่ยนท่าทีไปมาก  หลังจากนั่งนิ่งอยู่นาน ก็เริ่มพูดกับหลวงพ่อแช่มว่า  "ที่มาวันนี้ไม่ได้ตั้งใจจะมาสอบสวนอะไร ไม่คิดว่าหลวงพ่อแช่มจะทำผิดวินัยอะไร  แต่อยากจะมาดูให้รู้กับหูกับตาว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เพราะมีคำร้องกล่าวโทษไปหลายข้อ"  แล้วท่านก็ล้วงย่ามเอาคำฟ้องร้องมาอ่านให้ฟัง แล้วเริ่มถามเป็นข้อๆ 

   ข้อที่๑ ที่ว่าไม่อยู่ในปกครองของเจ้าอาวาส จะมีข้อแก้ว่าอย่างไร

   หลวงพ่อแช๋ม ตอบว่า ผมก็อยู่ในเขตวัดตาก้อง  เจ้าอาวาสก็อยู่ในกุฎิของท่าน ผมก็อยู่ในกุฎิของผม  ไม่เคยพบหน้ากัน เจ้าอาวาสไม่เคยมาว่ากล่าวตักเตือนสั่งสอนอะไรผม ผมก็ไม่เคยฝ่าฝืนข้อห้ามใดๆเลย  แล้วจะว่าผมไม่อยู่ในปกครองได้อย่างไร  ธรรมดาพ่อแม่ปกครองลูก ก็ต้องดูแลว่ากล่าวตักเตือน สั่งสอน ห้ามปราม นี่ผมไม่เคยทำอะไรฝ่าฝืนเลย ท่านไม่มาปกครองผมเองต่างหาก

   ข้อที่ ๒ ไม่บอกกล่าวให้ทราบว่าจะไปไหน ไปทำอะไร ข้อนี้จะแก้ว่าอย่างไร

   หลวงพ่อแช่ม  ตอบว่า เมื่อสมภารไม่มาปกครองผม ปล่อยผมตามใจ ผมก็ปกครองตัวผมเอง จะไปไหนก็ไปเอง กลับเอง  ทำอะไรก็ทำเอง ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการของวัด ข้อนี้ผมจักผิดธรรมวินัยของสงฆ์ได้อย่างไร

   ข้อที่ ๓ หายไปจากวัดเสมอ คร้ังละหลายๆวัน  ไม่ทราบว่าจะไปทำอะไรทำผิดทำชั่วทำเสื่อมเสียแก่คณะสงฆ์อย่างไร ข้อนี้จะแก้ตัวอย่างไร

   หลวงพ่อแช่ม ตอบว่า ผมออกจากวัดไปเสมอจริง ไปครั้งละหลายๆวันจริง  ก็ไปทำกิจส่วนตัวที่ชาวบ้านเขานิมนต์ เป็นกิจส่วนตัว ไม่ได้ทำผิด ทำชั่ว ทำความเสื่อมเสียอะไร  ถ้าหากไปทำผิดทำชั่ว คงจะมีคนจับได้  คงจะถูกฟ้องร้อง  ถูกเจ้าหน้าที่จับเข้าคุกตะรางไปแล้ว  แต่นี่ไม่มีใครพบว่าทำผิดทำชั่วที่ไหนเลย  อย่างนี้จะผิดธรรมวินัยได้อย่างไร 

   ข้อที่ ๔ ไม่ปฎิบัติกิจของสงฆ์ เช่น ไม่สวดมนต์ทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น

    หลวงพ่อแช่ม ตอบว่า ผมก็ทำของผมองค์เดียว เพราะผมอยู่องค์เดียว  ผมเป็นพระป่า เคยออกธุดงค์เดินป่า ก็ทำวัตรสวดมนต์องค์เดียวมาตลอด พระอรหันต์ท่านไปอยู่ป่า อยู่ถ้ำ ท่านก็สวดมนต์ภาวนาองค์เดียว การสวดมนต์องค์เดียวผิดศีลวินัยข้อไหน

    ข้อที่ ๕ ไม่ลงโบสถ์ฟังพระสวดพระปาฎิโมกข์ในวันพระ  ข้อนี้จะแก้ตัวว่าอย่างไร

   หลวงพ่อแช่ม ตอบว่า วันพระผมก็สวดพระปาฎิโมกข์เอง สวดเอง ฟังเอง เหมือนพระสงฆ์อื่นๆ ที่ท่านให้ลงโบสถ์ฟังพระสวดพระปาฎิโมกข์นั้น  สำหรับพระที่สวดพระปาฎิโมกข์เองไมได้ จะได้ฟังเอาบุญ ก็ผมสวดเองได้  จะต้องไปฟังใครสวดอีกเล่า  พระอื่นๆ ที่สวดพระปาฎิโมกข์ไม่ได้นั่นแหละจะสู้ผมไม่ได้  ถ้าจะมาวา่พระปาฎิโมกข์แข่งกัน   ผมสวดพระปาฎิโมกข์จบแล้วก็นั่งเจริญสมาธิภาวนา อบรมจิตของตนเป็นการบำเพ็ญภาวนา ดีเสียกว่านั่งฟังครูอาจารย์สั่งสอนอบรมเมื่อสวดพระปาฎิโมกข์จบ คนเราถ้าได้สงบจิตเตือนใจตนได้แล้ว ใครเล่าจะวิเศษไปกว่าตนของตนเตือนตน

    ข้อที่ ๖ ที่ว่าไม่ออกบิณฑบาตรโปรดสัตว์ตามธรรมเนียมของสงฆ์จะว่าอย่างไร 

   หลวงพ่อแช่มตอบว่า  ที่ท่านให้ออกบิณฑบาตรโปรดสัตว์นั้น ก็เพื่อให้ได้อาหารมาเลี้ยงชีพอย่างหนึ่ง กับเพื่อออกไปเตือนอุบาสกอุบาสิกาให้ทำบุญทำทาน  เมื่อผมไม่ต้องไปบิณฑบาตก็มีอาหารเลี้ยงชีพ ผมนั่งอยู่ที่กุฎิก็มีอุบาสกอุบาสิกานำอาหารมาถวาย  ผมทำให้คนท้ังหลายบริจาคทานได้อยู่แล้ว  ถ้าผมออกบิณฑบาตรกลับเป็นโทษ เพราะคนเขาจะทำบุญกับผมเสียมาก พระภิกษุรูปอื่นจะขาดลาภไปเสีย 

     ข้อที่๗ รดน้ำมนต์ ให้หวย ทำเสน่ห์ เป็นหมอรักษาไข้ จริงหรือไม่

     หลวงพ่อแช่มตอบว่า  รดน้ำมนต์ ผมรดจริง เพื่อสงเคราะห์คนที่เขามีทุกข์ พระอาจารย์ทั้งหลายก็รดกันอยู่ทั่วไป  จะผิดศีลวินัยข้อไหน อุปัชฌาชย์อาจารย์ก็ไม่เคยบอกว่ารดน้ำมนต์ผิดวินัย  หลวงพ่อของผมก็รดน้ำมนต์ให้ใครๆ อยู่เรื่อยๆ

      เรื่องให้หวย หลวงพ่อแช่มตอบว่า หวยก็ให้ เมื่อมีคนถาม ก็บอกให้เขาไปเล่นกัน รัฐบาลท่านอนุญาตให้เล่นหวยกันได้ 

     "เห็นตัวเลขจริงหรือ" เจ้าคณะถาม 
     หลวงพ่อแช่มตอบว่า การเข้าสมาธิภาวนา จิตเป็นหนึ่งเหมือนน้ำใส ไม่มีตะกอน ไม่มีละลอกคลื่นก็มองเห็นเงาในน้ำได้ 
     "้เขาเอาไปเล่นกันถูกไหม"
      หลวงพ่อแช่มตอบว่า "ถูกบ้าง ผิดบ้าง แล้วแต่โชคลาภของคนแทง เพราะเราไม่ได้บอกตรงๆ เราใบ้หวยให้เท่านั้น"

     "เรื่องทำเสน่ห์ จะว่าอย่างไร"
     หลวงพ่อแช่มตอบว่า  "ไม่เคยทำเสน่ห์ มีแต่คนมาขอเสน่ห์ ก็ให้สีผึ้้งไปสีปาก ซึ่งเสกด้วยคาถาเมตตาาจิต ทำด้วยเมตตาจิต ถ้าใช้ด้วยเมตตาจิต ก็เกิดเมตตาจิต มีเสน่ห์ได้"

     "เป็นหมอรักษาไข้ จริงหรือเปล่า"
     หลวงพ่อแช่มตอบว่า  ผมไม่เคยเป็นหมอรักษาไข้ใคร นอกจากมีคนป่วย ญาติมาถามอาการดู เห็นว่าพอรักษาได้ ก็ให้ไปหาซื้อยามาแล้วผมก็เอาลงหม้อ เสกให้ไปต้มกิน" 

    "แล้วของดีที่แจกไป เช่น ตะกรุด ผ้ายันต์ จะกันมีดพร้าอาวุธได้จริงหรือ"
     หลวงพ่อแช่ม ตอบว่า ถ้าเขามีศรัทธาเชื่อมั่น  และใช้เป็นก็ป้องงกันศัตราวุธได้จริง" 

     ครั้นแล้วเจ้าคณะจังหวัด ก็บอกว่าการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว เป็นอันว่า "คุณไม่มีความผิดอะไร" 
     เจ้าคณะจังหวัด ถามหลวงพ่อแช่มว่าคุณว่ามีดี มีดีอย่างไร

     หลวงพ่อแช่มก็ว่า อิติปิโสแปดจบให้ฟัง  แล้วก็ว่าอิติปิโสถอยหลังให้ฟัง  
    การสอบสวนของเจ้าคณะจังหวัดครั้งนั้น กลับเป็นผลดีแก่หลวงพ่อแช่มทำให้มีชื่อเสียงดังยิ่งขึ้น พระภิกษุสงฆ์บางองค์ก็ว่าพระอย่างหลวงพ่อแช่มถึงจะมีสักร้อยองค์ก็ไม่ทำให้ศาสนาเศร้าหมอง  ดีกว่สมภารเจ้าวัดบางองค์ที่ดีแต่เรี่ยไรเงินเสียอีก 

(โปรดติดตามตอนต่อไป)