วันเสาร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2561

หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง (ต้องอธิกรณ์)

ต้องอธิกรณ์

     เป็นธรรมดาโลก ใครก็หนีไม่พ้นธรรมดาโลก มีลาภ มียศ มีสุขสรรเสริญ มีเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์  หลวงพ่อแช่มก็หนีกฎธรรมดานี้ไม่พ้น  คนนับถือท่านมาก็จริงแต่มักจะเป็นคนที่มาจากต่างเมือง  แต่มีอีกพวกที่ตั้งข้อรังเกียจ เพ่งโทษจับผิดท่านอยู่ นินทาว่าร้ายว่าท่านเป็นพระพิเรนทร์ ไม่สวดมนต์ทำวัตรเช้าเย็น  ไม่ลงฟังสวดพระปาฎิโมกข์ในวันพระ ไม่บิณฑบาตรโปรดสัตว์ ไม่ปฎิบัติภารกิจสงฆ์ ไม่อยู่ในปกครองของเจ้าอาวาส 

     เพราะคนพวกหนึ่ง มองเห็นว่าหลวงพ่อแช่มทำอะไรแผลงๆ  อวดฤทธิ์อวดเดช เขาจึงคอยเพ่งโทษคอยจับผิด  คอยนินทาว่าร้ายท่านอยู่เสมอ จนในที่สุดก็มีหนังสือร้องเรียนกล่าวโทษหลวงพ่อแช่มไปถึงเจ้าคณะจังหวัด  คำฟ้องร้องน้ันทราบว่ามีข้อกล่าวหาฉกรรจ์อยู่หลายข้อ  พอจะสรุปประเด็นได้ดังนี้

     ๑. ไม่ยอมอยู่ในปกครองของเจ้าอาวาส
     ๒.ไม่บอกเล่าให้ทราบว่าจะไปไหน ไปทำอะไรที่ไหน
     ๓. หายไปจากวัดหลายๆวันเสมอ ไม่ทราบว่าไปทำอะไรที่ไหน
     ๔. ไม่ปฎิบัติกิจของสงฆ์ เช่นไม่สวดมนต์ทำวัตรเช้าเย็น พร้อมกับ       ภิกษุสงฆ์อื่นในวัด
     ๕. ไม่ลงฟังพระสวดปาฎิโมกข์ในวันพระ
     ๖. ไม่ออกบิณฑบาตรโปรดสัตว์ ตามธรรมเนียมของภิกษุ
     ๗. หุงข้าวกินเอง ตั้งครัวทำครัวเหมือนชาวบ้าน 
     ๘. รดน้ำมนต์ ให้หวย ทำเสน่ห์ เป็นหมอรักษาไข้ให้ชาวบ้าน 
     ๙. อวดอิทธิฤทธิ์ปาฎิหารย์ต่างๆ 

     คร้ันแล้วเจ้าคณะจังหวัด พร้อมด้วยคณะผู้ติดตามมีเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล ก็เดินทางมาสอบสวนหลวงพ่อแช่มถึงวัดตาก้อง  เจ้าคณะจังหวัดปรึกษากันว่าควรจะไปที่กุฎิของหลวงพ่อแช่ม เพราะจะได้ดูสถานที่อยู่ของท่านประกอบการพิจารณาด้วย  เมื่อไปถึงก็พบหลวงพ่อแช่มนุ่งสบงผืนเดียว นั่งขัดสมาธิคอยอยู่ที่พื้นกระดานแผ่นใหญ่ ปูอยู่กับพื้นดิน มีไม้ขอนรองวาง ไม่มีตั่ง ไม่มีเก้าอี้ ไม่มีม้านั่งไม่มีหมอนอิง แม้กระทั่งเสื่อก็ไม่มีปูรอง  เจ้าคณะตำบลที่ไปด้วยต้องบอกให้ท่านไปครองจีวรเสียให้เรียบร้อย แล้วชี้แจงให้รู้จักว่า นั่นเจ้าคณะจังหวัด ให้มานมัสการกราบไหว้ท่าน เพราะท่านเป็นเจ้าคณะใหญ่ผู้ปกครองสงฆ์ชั้นสูง  หลวงพ่อแช่มก็ยังเฉยอยู่ บอกแก่เจ้าคณะตำบลว่าผมไม่ใช่พระใช่เจ้าอะไรแล้ว  เป็นจำเลยให้เขาฟ้องร้อง อยากให้สอบสวนกัน ดีร้ายจะได้ถอดสบงสึกง่ายๆ ไม่ต้องครองจีวรให้เสียเวลา เจ้าคณะจังหวัดต้องปลอบชี้แจงอยู่นานว่าไม่ใช่จำเลย ไม่ใช่นักโทษอะไร  เพียงแต่ถูกอธิกรณ์ข้อกล่าวหา จะสอบสวนกันไปก่อน ถ้าผิดจึงจะลงโทษ เจ้าคณะจังหวัดบอกว่า นี่แน่ะท่านแช่ม ถ้าท่านเป็นพระถือศีลบริสุทธฺ์อยู่ก็ให้ท่านไปห่มจีวรให้เรียบร้อยก่อน หลวงพ่อแช่มจึงลุกขึ้นคว้าจีวรมาห่ม 

     เมื่อท่านเจ้าคณะจังหวัดกวาดสายตามองดูรอบๆ เห็นสภาพที่อยู่อาศัยอันเรียกว่ากุฎิของหลวงพ่อแช่ม อันเป็นศาลาโรงดิน มุงจาก ปราศจากฝากั้นทั้งสี่ด้าน ไม่มีพื้นกระดานปูนอกจากกระดานปูนอนอยู่บนพื้นดินเพียงรองนอนสำหรับตัวท่านเอง  ดูเหมือนเจ้าคณะจังหวัดจะเปลี่ยนใจและเปลี่ยนท่าทีไปมาก  หลังจากนั่งนิ่งอยู่นาน ก็เริ่มพูดกับหลวงพ่อแช่มว่า  "ที่มาวันนี้ไม่ได้ตั้งใจจะมาสอบสวนอะไร ไม่คิดว่าหลวงพ่อแช่มจะทำผิดวินัยอะไร  แต่อยากจะมาดูให้รู้กับหูกับตาว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เพราะมีคำร้องกล่าวโทษไปหลายข้อ"  แล้วท่านก็ล้วงย่ามเอาคำฟ้องร้องมาอ่านให้ฟัง แล้วเริ่มถามเป็นข้อๆ 

   ข้อที่๑ ที่ว่าไม่อยู่ในปกครองของเจ้าอาวาส จะมีข้อแก้ว่าอย่างไร

   หลวงพ่อแช๋ม ตอบว่า ผมก็อยู่ในเขตวัดตาก้อง  เจ้าอาวาสก็อยู่ในกุฎิของท่าน ผมก็อยู่ในกุฎิของผม  ไม่เคยพบหน้ากัน เจ้าอาวาสไม่เคยมาว่ากล่าวตักเตือนสั่งสอนอะไรผม ผมก็ไม่เคยฝ่าฝืนข้อห้ามใดๆเลย  แล้วจะว่าผมไม่อยู่ในปกครองได้อย่างไร  ธรรมดาพ่อแม่ปกครองลูก ก็ต้องดูแลว่ากล่าวตักเตือน สั่งสอน ห้ามปราม นี่ผมไม่เคยทำอะไรฝ่าฝืนเลย ท่านไม่มาปกครองผมเองต่างหาก

   ข้อที่ ๒ ไม่บอกกล่าวให้ทราบว่าจะไปไหน ไปทำอะไร ข้อนี้จะแก้ว่าอย่างไร

   หลวงพ่อแช่ม  ตอบว่า เมื่อสมภารไม่มาปกครองผม ปล่อยผมตามใจ ผมก็ปกครองตัวผมเอง จะไปไหนก็ไปเอง กลับเอง  ทำอะไรก็ทำเอง ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการของวัด ข้อนี้ผมจักผิดธรรมวินัยของสงฆ์ได้อย่างไร

   ข้อที่ ๓ หายไปจากวัดเสมอ คร้ังละหลายๆวัน  ไม่ทราบว่าจะไปทำอะไรทำผิดทำชั่วทำเสื่อมเสียแก่คณะสงฆ์อย่างไร ข้อนี้จะแก้ตัวอย่างไร

   หลวงพ่อแช่ม ตอบว่า ผมออกจากวัดไปเสมอจริง ไปครั้งละหลายๆวันจริง  ก็ไปทำกิจส่วนตัวที่ชาวบ้านเขานิมนต์ เป็นกิจส่วนตัว ไม่ได้ทำผิด ทำชั่ว ทำความเสื่อมเสียอะไร  ถ้าหากไปทำผิดทำชั่ว คงจะมีคนจับได้  คงจะถูกฟ้องร้อง  ถูกเจ้าหน้าที่จับเข้าคุกตะรางไปแล้ว  แต่นี่ไม่มีใครพบว่าทำผิดทำชั่วที่ไหนเลย  อย่างนี้จะผิดธรรมวินัยได้อย่างไร 

   ข้อที่ ๔ ไม่ปฎิบัติกิจของสงฆ์ เช่น ไม่สวดมนต์ทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น

    หลวงพ่อแช่ม ตอบว่า ผมก็ทำของผมองค์เดียว เพราะผมอยู่องค์เดียว  ผมเป็นพระป่า เคยออกธุดงค์เดินป่า ก็ทำวัตรสวดมนต์องค์เดียวมาตลอด พระอรหันต์ท่านไปอยู่ป่า อยู่ถ้ำ ท่านก็สวดมนต์ภาวนาองค์เดียว การสวดมนต์องค์เดียวผิดศีลวินัยข้อไหน

    ข้อที่ ๕ ไม่ลงโบสถ์ฟังพระสวดพระปาฎิโมกข์ในวันพระ  ข้อนี้จะแก้ตัวว่าอย่างไร

   หลวงพ่อแช่ม ตอบว่า วันพระผมก็สวดพระปาฎิโมกข์เอง สวดเอง ฟังเอง เหมือนพระสงฆ์อื่นๆ ที่ท่านให้ลงโบสถ์ฟังพระสวดพระปาฎิโมกข์นั้น  สำหรับพระที่สวดพระปาฎิโมกข์เองไมได้ จะได้ฟังเอาบุญ ก็ผมสวดเองได้  จะต้องไปฟังใครสวดอีกเล่า  พระอื่นๆ ที่สวดพระปาฎิโมกข์ไม่ได้นั่นแหละจะสู้ผมไม่ได้  ถ้าจะมาวา่พระปาฎิโมกข์แข่งกัน   ผมสวดพระปาฎิโมกข์จบแล้วก็นั่งเจริญสมาธิภาวนา อบรมจิตของตนเป็นการบำเพ็ญภาวนา ดีเสียกว่านั่งฟังครูอาจารย์สั่งสอนอบรมเมื่อสวดพระปาฎิโมกข์จบ คนเราถ้าได้สงบจิตเตือนใจตนได้แล้ว ใครเล่าจะวิเศษไปกว่าตนของตนเตือนตน

    ข้อที่ ๖ ที่ว่าไม่ออกบิณฑบาตรโปรดสัตว์ตามธรรมเนียมของสงฆ์จะว่าอย่างไร 

   หลวงพ่อแช่มตอบว่า  ที่ท่านให้ออกบิณฑบาตรโปรดสัตว์นั้น ก็เพื่อให้ได้อาหารมาเลี้ยงชีพอย่างหนึ่ง กับเพื่อออกไปเตือนอุบาสกอุบาสิกาให้ทำบุญทำทาน  เมื่อผมไม่ต้องไปบิณฑบาตก็มีอาหารเลี้ยงชีพ ผมนั่งอยู่ที่กุฎิก็มีอุบาสกอุบาสิกานำอาหารมาถวาย  ผมทำให้คนท้ังหลายบริจาคทานได้อยู่แล้ว  ถ้าผมออกบิณฑบาตรกลับเป็นโทษ เพราะคนเขาจะทำบุญกับผมเสียมาก พระภิกษุรูปอื่นจะขาดลาภไปเสีย 

     ข้อที่๗ รดน้ำมนต์ ให้หวย ทำเสน่ห์ เป็นหมอรักษาไข้ จริงหรือไม่

     หลวงพ่อแช่มตอบว่า  รดน้ำมนต์ ผมรดจริง เพื่อสงเคราะห์คนที่เขามีทุกข์ พระอาจารย์ทั้งหลายก็รดกันอยู่ทั่วไป  จะผิดศีลวินัยข้อไหน อุปัชฌาชย์อาจารย์ก็ไม่เคยบอกว่ารดน้ำมนต์ผิดวินัย  หลวงพ่อของผมก็รดน้ำมนต์ให้ใครๆ อยู่เรื่อยๆ

      เรื่องให้หวย หลวงพ่อแช่มตอบว่า หวยก็ให้ เมื่อมีคนถาม ก็บอกให้เขาไปเล่นกัน รัฐบาลท่านอนุญาตให้เล่นหวยกันได้ 

     "เห็นตัวเลขจริงหรือ" เจ้าคณะถาม 
     หลวงพ่อแช่มตอบว่า การเข้าสมาธิภาวนา จิตเป็นหนึ่งเหมือนน้ำใส ไม่มีตะกอน ไม่มีละลอกคลื่นก็มองเห็นเงาในน้ำได้ 
     "้เขาเอาไปเล่นกันถูกไหม"
      หลวงพ่อแช่มตอบว่า "ถูกบ้าง ผิดบ้าง แล้วแต่โชคลาภของคนแทง เพราะเราไม่ได้บอกตรงๆ เราใบ้หวยให้เท่านั้น"

     "เรื่องทำเสน่ห์ จะว่าอย่างไร"
     หลวงพ่อแช่มตอบว่า  "ไม่เคยทำเสน่ห์ มีแต่คนมาขอเสน่ห์ ก็ให้สีผึ้้งไปสีปาก ซึ่งเสกด้วยคาถาเมตตาาจิต ทำด้วยเมตตาจิต ถ้าใช้ด้วยเมตตาจิต ก็เกิดเมตตาจิต มีเสน่ห์ได้"

     "เป็นหมอรักษาไข้ จริงหรือเปล่า"
     หลวงพ่อแช่มตอบว่า  ผมไม่เคยเป็นหมอรักษาไข้ใคร นอกจากมีคนป่วย ญาติมาถามอาการดู เห็นว่าพอรักษาได้ ก็ให้ไปหาซื้อยามาแล้วผมก็เอาลงหม้อ เสกให้ไปต้มกิน" 

    "แล้วของดีที่แจกไป เช่น ตะกรุด ผ้ายันต์ จะกันมีดพร้าอาวุธได้จริงหรือ"
     หลวงพ่อแช่ม ตอบว่า ถ้าเขามีศรัทธาเชื่อมั่น  และใช้เป็นก็ป้องงกันศัตราวุธได้จริง" 

     ครั้นแล้วเจ้าคณะจังหวัด ก็บอกว่าการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว เป็นอันว่า "คุณไม่มีความผิดอะไร" 
     เจ้าคณะจังหวัด ถามหลวงพ่อแช่มว่าคุณว่ามีดี มีดีอย่างไร

     หลวงพ่อแช่มก็ว่า อิติปิโสแปดจบให้ฟัง  แล้วก็ว่าอิติปิโสถอยหลังให้ฟัง  
    การสอบสวนของเจ้าคณะจังหวัดครั้งนั้น กลับเป็นผลดีแก่หลวงพ่อแช่มทำให้มีชื่อเสียงดังยิ่งขึ้น พระภิกษุสงฆ์บางองค์ก็ว่าพระอย่างหลวงพ่อแช่มถึงจะมีสักร้อยองค์ก็ไม่ทำให้ศาสนาเศร้าหมอง  ดีกว่สมภารเจ้าวัดบางองค์ที่ดีแต่เรี่ยไรเงินเสียอีก 

(โปรดติดตามตอนต่อไป) 
      

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น