วันพุธที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง พรรษาสี่กำลังกล้า


พรรษาสี่กำลังกล้า

     มีคำพังเพยพูดกันในสมัยน้ันในวงการพระภิกษุว่า "พรรษาหนึ่งกำลังผ่อง  พรรษาสองกำลังงาม พรรษาสามกำลังดี พรรษาสี่กำลังกล้า พรรษาห้ากำลังแก่"  
     เพราะฉนั้นคนสมัยน้ัน ที่ไมคิดจะบวชจนตายในผ้าเหลือง  ก็มักจะสึกเมื่อล่วงพรรษาที่สาม แต่ถ้าอยู่ถึงพรรษาที่สี่แล้ว  ก็ว่าจิตใจกำลังแก่กล้าท่างธรรม ถ้าบวชอยู่ถึงห้าพรรษา ท่านว่ากำลังแก่ คือเริ่มจะแก่เสียแล้ว ความหมายเดิมท่านอาจจะหมายถึงจิตใจแก่กล้าหรือวิชาแก่กล้า  หรือแก่ทางธรรมะธัมโม  แต่พระที่บวชอยู่นั้นมักจะตีความไปทางแก่อายุ  สึกออกไปก็จะมีเมียล่า เป็๋นขี้ข้าลูก  คนสมัยนั้นจึงมักจะบวชกันเพียงสามพรรษา  แล้วก็ลาสึกออกไปมีครอบครัวกันเสียโดยมาก

     หลวงพ่อแช่ม  บวชมาจนครบสามพรรษาแล้ว   พระภิกษุเพื่อนฝูงรุ่นเดียวกันก็สึกออกไปเกือบหมด  พอสึกออกไปก็ไปมีลูกมียกันโดยมาก  พ่อแม่ของผู้หญิงเขาก็เต็มใจให้ลูกสาวแต่งงานกับ "บัณฑิตทางศาสนา" คือ ทิดสึกใหม่ เมื่อมีการพิธีแต่งงานทำบุญซัดน้ำ จะนิมนต์พระสงฆ์ไปสวดอวยชัยให้พร เมื่อเจ้าบ่าวเจ้าสาวทำบุญตักบาตรแล้ว พระฉันอาหารเสร็จ พระท่านจะทำน้ำมนต์ขันใหญ่  เจ้าบ่าวเจ้าสาวนั่งข้างหน้าหมู่พระสงฆ์ พระท่านจะตักน้ำมนต์สาดซัดไปที่ร่างของเจ้าบ่าวเจ้าสาว และพระสงฆ์ทั้งน้ันก็สวดชยันโตอวยพรให้พร ขันน้ำมนต์จะส่งเลื่อนไปให้พระองค์ถัดไปซัดน้ำจนครบ ๑๐ องค์ เจ้าบ่าวเจ้าสาวก็เปียกไปทั้งตัวเหมือนอาบน้ำมนต์  เขาจึงเรียกว่า ทำบุญซัดน้ำ    ไม่ใช่หลั่งน้ำพระพุทธมนต์ประสาทพรเป็นพิธี เป็นพิธีไทยแท้แต่โบราณ 

     หลวงพ่อแช่มเคยไปในพิธีสวดมนต์ทำบุญซัดน้ำอย่างนี้แล้ว ก็มานึกจินตนาการว่า "เนื้อคู่"  นั้นคืออะไร  หลวงพ่อแช่มมองเห็นเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่นั่งหมอบให้ซัดน้ำนั้นแล้ว ก็โปร่งแจ้งขึ้นในใจว่า คำว่า "เนื้อคู่"  ช่างเหมาะเจาะดีแท้ เพราะเนื้อหุ้มกระดูกคู่หนึ่งมานั่งหมอบก้มหน้าให้พระซัดน้ำนี้เอง  เนื้อก้อนหนึ่งเป็นเพศชาย  เนื้ออีกก้อนหนึ่งเป็นเพศหญิง  ก่อกำเนิดขึ้นคนละพ่อแม่  
     คำว่า "หนังคู่" คือหนังหุ้มกระดูกไว้ให้ดูเปล่งปลั่ง  ผุดผ่องสวยงาม แต่ภายใต้หนังคู่นี้มีอะไรเล่า  ถ้าไม่ใช่เลือดเนื้อเส้นเอ็น กระดูก  ร่างกายเรานี้สวยงามแต่ภายนอก  หลอกลวงคนเราให้หลงติดอยู่ให้หลงรักหลงชังอยู่เท่านั้น  ภายใต้หนังคู่นี้ ไม่มีอะไรน่าชื่นชมยินดีมีแต่เลือดเนื้อคูตมูตร สิ่งเน่าเหม็น รอวันแก่ชราและตายเท่าน้ัน 
    คำว่า "กระดูกคู่"  เป็นอีกคำหนึ่ง ที่ชอบพูดกันถึงคนที่เป็นคู่ผัวตัวเมียกันได้ยึดยาว  "เนื้อคู่-หนังคู่-กระดูกคู่"  นี้หลวงพ่อแช่มมองทะลุปรุโปร่งว่า กระดูกคู่นี้ก็เน่าเปื่อยผุพังเป็นดินในที่สุด ไม่มีอะไรเหลืออยู่ในโลก 

     เมื่อหลวงพ่อแช่ม คิดด้วยตาใจ ได้ธรรมจักษุเช่นนี้แล้ว หลวงพ่อแช่มก็นึกเบื่อหน่ายในชีวิตครองเรือน ไม่คิดจะสึกออกไปมีชีวิตคู่ครองเรือนเลย 
     ช่วงชีวิตทางสองแพร่งนี้ ที่ทำให้หลวงพ่อแช่มตัดสินใจว่าจะเลือกเดินทางชีวิตอย่างไร จะบวชอยู่ต่อไปหรือสึกไปครองเรือน แต่เผอิญหลวงพ่อแช่ม มีรูปร่างหน้าตาขี้ริ้ว ไม่มีเสน่ห์ชวนให้ผู้หญิงมาสนใจ แต่กลับเป็นคุณประโยชน์แก่การดำเนินชีวิต เพราะพระที่รูปหล่อนั้นมักบวชอยู่ในผ้าเหลืองได้ไม่นาน ไม่ทนอยู่จนตายในผ้าเหลืองเหมือนหลวงพ่อแช่ม   
     หลวงพ่อแช่ม กลับวัดแล้วก็ครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ นึกถึงพระเพื่อนฝูงที่สึกออกไปก็ไปทำนากันอยู่กลางแดด หลวงพ่อแช่มจึงตัดสินใจว่า ชีวิตนี้จะอยู่ในผ้าเหลืองตลอดชีวิต 

(โปรดติดตามตอนต่อไป)
     
    

วันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง (ตอน ป่าช้า ป่าดี)


ป่าช้า ป่าดี

     หลวงพ่อทา พระอุปัชฌาชย์ของหลวงพ่อแช่ม  เป็นพระสงฆ์สมัยโบราณ ท่านเข้าใจดีถึงชีวิตจิตใจระดับชาวบ้านว่าเชื่อผี กลัวผี ท่านรู้ดีว่า พระลูกวัดของท่านคือลูกชาวบ้าน ย่อมจะเชื่อเรื่องผีและกลัวผี ท่านจึงฝึกหัดพระของท่านให้กล้าผี 
     เริ่มแต่พรรษาแรกมาอยู่กับท่าน  ท่านสอนให้ปลงกรรมฐาน ทำนให้นั่งภาวนาพิจารณาให้เห็นกายในกายว่า ร่างกายของคนเรานี้ ไม่มีแก่นสารอะไร  ประกอบขึ้นหรือปรุงแต่งขึ้นด้วยอาการ ๓๒ ได้แก่ เกสา-ผม โลมา-ขน นะขา-เล็บ ทันตา-ฟัน ตะโจ-ผิวหนัง มังสัง-เนื้อ นหารู-เอ็น อัฐิ-กระดูก อัฐมิญชัง-เยื่อในกระดูก วักกัง-ม้าม หทยัง-หัวใจ ยกะนัง-ตับ กิโลมะกัง-พังผืด ปิหะกัง-ไต ปัปผาสัง-ปอด อันตัง-ไส้ใหญ่ อันตะคุนัง-ไส้น้อย อุทะริยัง-อาหารใหม่ กรีสัง-อาหารเก่า มัตถะลุงคัง-มันสมอง ปิตตัง-ดี เสมมัง-เสมหะ ปุพโพ-น้ำเหลือง โลหิตัง-เลือด เสโท-เหงื่อ เมโท-มัมชัน อัสสุ- น้ำตา วสา-มันเหลว เขโล-น้ำลาย สิงฆานิกา-น้ำมูก ละสิกา-น้ำไขข้อ มุตตัง-น้ำมูตร รวมเรียกว่า อาการ ๓๒ นี้ประกอบกันขึ้นเป็นร่างกายคน สัตว์ เราเขา เหมือนกันทุกรูปทุกนาม  ไม่ว่าหญิงว่าชายเด็กหรือผู้ใหญ่ ไพร่หรือผู้ดี มีหรือจน  อาการ ๓๒ เหล่านี้ เมื่อยังมีลมหายใจอยู่ ก็เคลื่อนไหวได้ ทำงานได้ พูดได้ กินได้ รู้สึกนึกคิดได้สารพัด  กระทำกรรมต่างๆ ได้ทางกายเรียกว่า กายกรรม ทางวาจาเรียกว่า วจีกรรม ทางใจเรียกว่า มโนกรรม ทำดี พูดดี คิดดี ก็เป็นบุญกุศล เป็นประโยชน์ต่อตนและผู้อื่น ถ้าทำชั่ว พูดชั่ว คิดชั่วก็เป็นบาปเป็นอกุศล  ทำลายตนและผู้อื่น แต่ท้ายที่สุดคนเราไม่ว่าคนดีคนชั่ว เกิดมาแล้วก็ไม่เที่ยงแท้ถาวรอยู่ค้ำฟ้า   เกิดมาแล้วก็เจริญเติบโต  เป็นหนุ่มสาว คร้ันแล้วก็แก่ชรา หูตาก็มืดมัว  ฟันก็ห่างหัก ผมก็หงอกขาว  ผิวพรรณก็เหี่ยวย่น  เหมือนผลไม้มะม่วงมีระยะเท่าหัวแมลงวัน  โตขึ้นเป็นมะม่วงขบเผาะ  เข้าไคล ดิบ แล้วก็ห่าม แก่ สุก แล้วก็งอม ไม่มีใครสอยก็ร่วงหล่นจากต้น  เน่าเปื่อยไป เหลือแต่เมล็ด สำหรับงอกขึ้นเป็นต้นมะม่วงต้นใหม่ต่อไป 

      ชีวิตคนเราก็เป็นเช่นนี้ทุกรูปทุกนาม  มีเกิด แก่ เจ็บ และตาย เมื่อสิ้นลมหายใจแล้ว ร่างกายก็เย็ฺนชืด แข็งทือ และเน่าอืด ขึ้นพองมีน้ำเหลืองน้ำหนองไหลส่งกลิ่นเหม็น ลูกเมียที่เคยรักใคร่อย่างสุดสวาทขาดใจ พอร่างกายเน่าเหม็นแล้วก็เกลียดกลัว  ต้องเอาไปฝังไปเผาเสียในป่าช้า  ต้องพลัดพรากจากกันไปชั่วชีวิต คนเราทุกคนก็ต้องเป็นเช่นนี้ในวันข้างหน้า  เราจะต้องตาย ต้องพลัดพรากจากลูกเมีย จากทรัพย์สมบัติที่เก็บหามาได้  เดินทางไปสู่โลกหน้าด้วยตัวคนเดียว ไม่มีอะไรติดตามตัวไปได้  มีแต่บุญกุศลที่ทำไว้เท่านั้น ทำไว้ต่างกันก็มีที่ไปต่างกัน  เพราะฉนั้นการที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนานี้นับว่าเป็นบุญกุศลยิ่ง  ยิ่งได้มาบวชในพระพุทธศาสนาก็นับว่าเกิดมาชาตินี้ไม่เสียที ขอให้ตั้งหน้าบำเพ็ญเพียรภาวนาไปด้วยความอุตสาหะหมั่นขยันพิจารณากายในกาย มองให้เห็นกายในกายว่า  ร่างกายเรานี้มีแต่ความผันแปรไม่เที่ยงแท้แน่นอนอยู่อย่างนี้  เราต้องแก่ ต้องเจ็บไข้ และท้ายที่สุดชีวิตทุกชีวิตก็ต้องพ่ายแพ้แก่โรคพยาธิต้องตายไปทุกชีวิต  เพราะเหตุดังนี้แหละสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจา พระบรมศาสดาของเรา จึงตรัสสอนไว้ว่า  ชีวิตเป็นอนิจจัง-ไม่เที่ยง ชีวิตเป็นทุกข์ด้วยโรคภัยไข้เจ็บ  ชีวิตเป็นอนัตตา-ไม่ใช่ตัวตนเราเขาที่จะดำรงอยู่ได้ตลอดกาล  
     
     หลวงพ่อทาสอนให้ปลงกรรมฐาน ให้พิจารณาภายในกายนี้เสมอๆ พิจารณาทุกวัน ทุกชั่วโมง  ทุกนาทีและทุกขณะจิต  โดยให้ภาวนา "เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ"   เวลาจะย่างก้าวไปบิณฑบาตรก็ดี จะนั่งก็ดี นอนก็ดี ยืนก็ดี ให้ภาวนาทั้ง ๕ คำนี้อยู่เสมอ ยิ่งกว่าน้ันยังให้หัดบำเพ็ญภาวนานั่งสมาธิ เพ่งพิจารณาภายในกาย ให้ถลกหนังตัวเองออก แล่เนื้อออกไปกองไว้ให้เหลือแต่โครงกระดูก ที่จะเน่าเปื่อยผุพังเป็นขุยละลายไปในดิน ท่านว่าให้ลองหัดตายเสียเนืองๆ เมื่อยังเป็นๆ ยังมีชีวิตอยู่  จะได้คุ้นเคยกับความตายเสียก่อนตาย 
     เวลาเขาหามผีมาฝังหรือเผาที่ป่าช้า  หลวงพ่อทาให้พระลูกวัดไปสวดศพเพ่งจิตบังสกุลให้คนตาย ท่านสอนว่าการชักบังสกุลให้เ่พ่งมองที่หน้าศพน้ันขณสวดบังสกุลด้วยบท "อนิจจา สตะ สังขารา-" ให้นึกปลงกรรมฐานไปด้วยในใจว่า "สังขารนี้ไม่เที่ยงหนอ มีความผันแปรไปดังนี้ เมื่อเกิดมาแล้ว ก็มีความป่วย มีความตายในที่สุด ความตายนี้แหละคือ ความสงบสุข"  การปลงกรรมฐานนี้ทำให้เบาบาง ปล่อยวางจากกิเลสตัณหา ลดความโลภ ความโกรธ ความหลง บรรเทากามราคะได้  การปลงกรรมฐานนี้จึงเป็นการทำบุญกุศลให้แก่ตนด้วยการปฎิบัติธรรม 

     หลวงพ่อทาท่านว่า  ป่าช้าเป็นป่าชั่วช้า เพราะเป็นป่าผี ป่าที่มีแต่ซากศพ แต่พระไปอยู่ป่าช้าแล้ว ก็เป็นป่าดี เป็นป่าแก้ว ป่าที่พระอยู่จึงเรียกว่าป่าแก้ว เป็นป่าที่สงบสงัด เป็นป่าที่แสวงธรรมของสาธุชน  เป็นป่าทีปฎิบัติธรรมของลูกพระตถาคต เป็นป่าที่บำเพ็ญสมณธรรมของพระอริยสงฆ์  
     แม้พระที่ศีลบริสุทธิ์ ท่านก็แนะนำให้ไปบำเพ็ญสมณธรรมในป่า ให้ปลงกรรมฐานในป่าช้า นั่งข้างๆหลุมศพที่ฝังใหม่ๆ เพ่งมองให้เห็นว่า ซากศพนั้นกำลังขึ้นพอง มีแต่น้ำเลือดน้ำเหลือง  เนื้อหนังเปื่อยเน่านอนอยู่อย่างโดดเดี่ยวในหลุมนั้น ชีวิตทุกชีวิตต้องจบลงเมื่อแผ่นดินกลบหน้าเช่นนี้ทุกคน  ไม่ว่าไพร่ ผู้ดี เศรษฐี ยาจก ชีวิตนี้้สั้นนัก จึงควรสันโดษพอใจในชีวิตที่เป็นอยู่มีอยู่  ไม่ทุจริตเบียดเบียนเพื่อนมนุษย์  ประกอบแต่การบุญกุศลไว้ 

       

วันพุธที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง (อุปัชฌาชย์เข้มงวดวิชา)


อุปัชฌาชย์เข้มงวดวิชา

     หลวงพ่อแช่ม บวชแล้วมิได้อยู่จำพรรษาที่วัดตาก้อง  ได้ติดตามพระอุปัชฌาชย์ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดพะเนียงแตก ตำบลบางแค อำเภอเมืองนครปฐม  ซึ่งมีชื่อว่า อำเภอพระปฐมเจดีย์ในสมัยก่อน  อุปัชฌาชย์ของหลวงพ่อแช่ม ชื่อพระครูอุตรการบดี (หลวงพ่อทา)  เป็นเจ้าอาวาสวัดพะเนียงแตก  และมีตำแหน่งเป็นเจ้าคณะแขวงเมืองนครปฐมด้วย   พระครูอุตรการบดีองค์นี้ ชาวบ้านรู้จักกันในนามหลวงพ่อทา* เป็นพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในสมัยน้ัน  มีคนรู้จักนับถือท่านมากตามตำบลใกล้เคียง ตลอดไปถึงต่างอำเภอ ต่างจังหวัด เช่น อำเภอนครชัยศรี อำเภอบางเลน จนถึงเมืองสุพรรณบุรี สมัยนั้นการคมนาคมยังไม่สะดวกรวดเร็วเหมือนสมัยนี้ พระอาจารย์ที่มีคนรู้จักนับถือไปจนถึงต่างบ้านต่างเมืองเช่นนี้ นับว่าโด่งดังมากทีเดียว   หลวงพ่อทาองค์นี้ มีสมญาเรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่า "หลวงพ่อเสือ"  เพราะท่านดุนัก คนทั่วไปกลัวกันมาก แม้พวกนักเลงใหญ่ๆ ก็กลัวท่าน สมัยนั้นยังมีกฎหมายที่เรียกว่า อาญาวัด ให้อำนาจแก่สมภารเจ้าอาวาสมีอำนาจลงโทษ จับกุม คุมขัง ข้าวัดหรือเลขวัดผู้ปฎิบัติพระสงฆ์ได้   คำว่า "สมโณครัว" ก็มาแต่ความหมายว่า "ครัวสงฆ์" นั่นเอง คือวัดหนึ่งต้องทำบัญชีคนในปกครองไว้  ตั้งแต่พระภิกษุสงฆ์ สามเณร เลขวัด และคนที่อาศัยวัดทั้งหมด คนเหล่านี้รวมเรียกว่า "สมโณครัว"  เมื่อมีการสำรวจพลเมืองทั่วประเทศภายหลัง จึงยืมคำนี้มาใช้ 
     พระครูอุตรการบดี(ทา) นี้ ท่านมีชื่อเสียงโด่งดังมากอยู่ระหว่างพ.ศ.๒๔๐๐- พ.ศ.๒๔๕๐ ท่านเป็นพระนักปฎิบัติ เชี่ยวชาญทางสมณกรรมฐานมีพลังจิตกล้าแข็ง  ท่านทำเครื่องรางของขลังไว้แจกเมื่อคราวสร้างโบสถ์วัดพะเนียงแตก
     หลวงพ่อทา เป็นพระนักปฎิบัติ เมื่อท่านยังหนุ่มท่านก็ชอบธุดงค์ไปตามป่าเขา เมื่อมีตำแหน่งเป็นสมภารเจ้าอาวาส ท่านก็ยังชอบเข้าป่า หลวงพ่อทาเป็นช่างและเป็นนักก่อสร้างอยู่ด้วย โบสถ์ ศาลาการเปรียญก็สร้างไว้ใหญ่โตกว้างขวาง สมัยน้ันมีพระบวชเก่า พระบวชใหม่ และพระจรมาอยู่ ปีหนึ่งไม่น้อยกว่า ๗๐-๘๐ องค์ วัดพะเนียงแตกจึงเป็นวัดที่คึกคักมาก 
     เพราะหลวงพ่อทาเป็นพระมีชื่อเสียงนี่แหละ หลวงพ่อแช่มจึงติดตามไปอยู่วัดพะเนียงแตก  รับใช้ปรนนิบัติอุปัชฌาชย์ มุ่งหวังเพื่อจะร่ำเรียนธรรมะปฎิบัติกับท่าน และอยากมีคาถาอาคมจากท่านด้วย 
      แต่การจะได้เล่าเรียนนั้น ก็ต้องใช้ความอุตสาหะพากเพียรอย่างสูง ต้องเป็นคนมีความอดทน อดกลั้นอย่างยิ่ง  ยอมรับใช้ปรนนิบัติอาจารย์ทุกอย่าง ยิ่งกว่าลูกปฎิบัติต่อพ่อแม่ ต้องยอมทนคำดุด่าว่ากล่าวของอาจารย์ ไม่ย่อท้อ เบื่อหน่ายท้อถอยให้ท่านรักใคร่ไว้ใจจริงๆว่า เป็นคนอดทนซื่อสัตย์กตัญญู ไม่ลบหลู่คุณครูอาจารย์ นั่นแหละท่านจึงจะยอมสอนวิชาให้
     หลวงพ่อแช่ม เกิดมาเป็นลูกคนจน เคยลำบากมาทุกอย่าง เคยนอนแคร่ ตากยุงใต้ถุนบ้าน เคยเป็นเด็กเลี้ยงควายอยู่ชายทุ่ง  เคยแม้กระทั่งขอทานเขา  เมื่อมาบวชกับหลวงพ่อทา จีงทำได้ทุกอย่างที่จะปรนนิบัติท่านได้ ด้วยตั้งใจแน่วแน่ว่าจะขอเรียนวิชาการทุกอย่างจากหลวงพ่อทา  จึงคอยรับใช้ใกล้ชิด ปรนนิบัติวัฎฐากทุกอย่าง  สิ่งใดเห็ฯว่าควรทำจะทำทุกอย่าง ไม่ต้องบอกไม่ต้องออกปากใช้   การปรนนิบัตินี้ยิ่งกว่าที่เคยปรนนิบัติกับใครๆ แม้แต่กับพ่อแม่ก็ไม่เคยทำให้ เริ่มต้ังแต่ตื่นแต่ย่ำรุ่งก่อนตีสี่ติดไฟต้มน้ำร้อน  เตรียมชงน้ำชาไว้ก่อนท่านอาจารย์จะตื่น   พอตืนขึ้นก็จัดขันน้ำวางเตรียมไว้ให้ท่าน  พอสายไปบิณฑบาต เห็นมีสิ่งใดเป็นอาหารดี อาหารแปลก จะต้องนำมาถวายอาจารย์ทุกวัน สังเกตุดูว่าท่านชอบฉันอะไร ก็จดจำไว้ เมื่อได้อาหารนั้นมาก็ถวายอาจารย์หมด ยอมอดไม่ฉันสิ่งน้ัน  เมื่ออาจารย์ป่วยจะเอาใจใส่ดูแลต้มข้าวต้ม หาอาหารมาให้ฉัน จำวัดตอนบ่ายก็จะคอยพัดวีมิให้ยุงมารบกวน จะคอยรับใช้ใกล้ชิดไม่ให้ต้องเรียกหา  
     ตกค่ำ ก็ต้องเตรียมต้มน้ำ ชงน้ำชาไว้ให้อาจารย์อีก   พระอาจารย์ก็จะอบรมสั่งสอนข้อปฎิบัติต่างๆ อาจารย์หมั่นสอนให้พิจารณาเนืองนิตย์ว่า กายนี้เป็นทุกข์ ไม่เที่ยงและไม่ใช่ตัวตนของเรา กายนี้มีความหิวโหย เหน็ดเหนื่อย ป่วยไข้อยู่เป็นประจำ ทุกสังขาร ร่างกายนี้ไม่เที่ยงแท้คงทนถาวร  อยู่เป็นเด็กแล้วก็เป็นหนุ่ม สาว แล้วก็แก่ชรา ผันแปรไปตลอดเวลา เรียกว่าความไม่เที่ยงแท้ กายนี้ในที่สุดก็จะถึงกาลดับสูญ แตกสลายไปในวันหนึ่งข้างหน้า เราจะต้องพลัดพรากจากคนที่เคยรักใคร่ เคยเห็นหน้ากัน  แล้วก็ทิ้งร่างกายของตนให้ไว้เน่าเปื่อย ผุพังไปเหลือแต่กระดูก  แม้กระดูก็ถูกเผาไหม้เป็นเถ้าถ่าน เป็นดินในที่สุด ชีวิตร่างกายเรานี้ เกิดขึ้นชั่วครู่ชั่วยาม แล้วก็แตกดับสลายไป หาแก่นสารอะไรมิได้  ให้พิจารณาเนืองๆว่า ผิวพรรณที่เคยเปล่งปลั่งก็เหี่ยวไป ผมที่เคยดกดำก็หงอก ฟันเคยสวยงามครบถ้วนก็หักหมดไป ให้ภาวนาอยู่เนืองๆว่า
     "เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ"  ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ย่อมเปลี่ยนแปรไปไม่คงที่ ทนถาวรอยู่ได้
     ให้พิจารณาให้เห็นภายในกาย  มองร่างกายที่มีผ้าแพรพรรณหุ้มห่ออยู่ให้ทะลุถึงเนื้อหนัง มองให้ทะลุถึงกระดูก เลือด เนื้อ เส้นเอ็น ตัว ไต ไส้พุ คูถมูตรที่หมักหมมอยู่ในกายเรานี้  ว่าไม่มีอะไรน่าชื่นชมยินดี  ล้วนแต่เน่าเหม็นผุพังทั้งสิ้น  อย่าไปคิดอยู่ที่ผิวพรรณเครื่องนุ่งห่มภายนอก ให้นั่งภาวนาหลับตามองเห็นภายในกายดังนี้ ให้นั่งภาวนาแยกแยะชำแหละร่างกายออกไปเป็นส่วนๆ ลอกหนังออกก่อนให้เหลือแต่เนื้อแดงๆ ชำแหละเนื้อออกให้เหลือแต่โครงกระดูก นั่งภาวนามองให้เห็นกระดูกผุพังลงจนเป็นขุยดิน  ถ้าจิตใจยังดื้อดึงแข็งกระด้าง ก็ให้ไปนั่งในป่าช้า  พิจารณาซากศพที่ตายใหม่และตายเก่า  และโครงกระดูกผีตาย  ท่านว่าเวลาบ้านไหนมีคนตาย มีญาติมานิมนต์ไปสวดหน้าศพ ก็จะไปสวดให้จะได้บุญกุศลแก่เรา  เราเองก็จะต้องตายเช่นนี้ ความตายเป็นความโศกเศร้า เป็นการจากกันชั่วชีวิต ทรัพย์สมบัติ ลูกเมีย ไร่นา บ้านเรือน แก้วแหวนเงินทองมันเป็นแต่ของประดับโลก ไม่ใช่ทรัพย์สมบัติของใคร  คนตายก็ตายไปแต่ตัว สิ่งที่ติดตามตนไปเป็นเสบียงในภพหน้า คือบุญกุศลเท่านั้น  เพราะฉนั้นอย่าหลงใหลได้ปลื้มในทรัพย์สมบัติ ลูกเมีย เหล่านี้  คนที่มีโอกาสได้บวชเรียนนั้นเท่ากับได้เกิดมาสร้างกองบุญกองกุศลไว้ 
     เวลาฉันอาหารหน้าศพน้ัน ถึงจะมีกลิ่นเหม็นเพียงไร ก็ให้อดกลั้น ตั้งใจฉันเหมือนปกติ จะได้ปลงธรรมสังเวชไปด้วยว่า อาหารที่เราฉันนี้ ก็เพื่อจะยังอัตภาพให้เป็นไปเท่านั้น  มิได้ฉันเพื่อเห็นแก่รสอร่อย หลงเพลิดเพลินในรสอาหารนั้น  การฉันอาหารหน้าศพจึงได้บุญกุศล เพราะเท่ากับว่าได้พิจารณาถึงชีวิตและความเป็นจริง
     สมัยก่อน โลงศพไม่ได้หาจากร้านที่ต่อเสร็จเรียบร้อยเหมือนปัจจุบัน  โลงศพน้ันใช้ไม้กระดานมาต่อกัน พอใส่ศพได้ รอยต่อก็ไม่สนิทเพราะฉนั้นจึงส่งกลิ่นเหม็นคละคุ้งไปทั่วบริเวณ  พระบวชใหม่ไม่ใคร่จะมีใครอยากไปสวดและฉันอาหารหน้าศพเลย แต่หลวงพ่อท่านบังคับให้ทุกองค์หมุนเวียนกันไป  เพื่อจะได้ปลงธรรมสังเวช และฝึกกรรมฐาน  ให้เตรียมตัวเตรียมใจไว้ในชีวิตว่าคนจะได้พบความตายในที่สุด
     หลวงพ่อแช่มดูแลปรนนิบัติหลวงพ่อทาจนถึงพรรษา ๒ พรรษา ๓ ท่านจึงเกิดความเมตตาสอนคาถาอาคมให้ ก่อนสอนท่านให้ตั้งสัตย์ปฎิญาณว่าอย่างแข็งแรงว่า จะอยู่ในศีลในสัตย์ ปฎิบัติตามคำครูอาจารย์ แล้วท่านก็บอกปากเปล่าให้ท่องหัวใจพระคาถา ให้หัดนั่งภาวนา ปฎิบัติทางจิต  ประจุฤทธิพลังจิตลงให้ได้ผล  สอนอุปเทห์เคล็ดลับต่างๆให้ และให้หมั่นึกฝนจนมั่นใจ ท้ายที่สุดจึงทำพิธีครอบประสิทธิ์ประสาทวิชาให้ การเรียนวิชาอาคมนี้ มิใช่ว่า อ่านหนังสือได้ท่องคาถาได้ แล้วก็ใช้ได้ผล  จะต้องเรียนโดยมีครูอาจารย์ 
     หลวงพ่อแช่ม กล่าวว่า  ทุกสิ่งในโลกนี้สำเร็จด้วยธาตุ ๔ คือ ดิน  น้ำ ลม ไฟ คาถาต่างๆ ต้องใส่ธาตุทั้ง ๔ ด้วย จึงจะประสิทธิ์ผล ถามว่า ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ เอามาผสมกันอย่างไร ท่านว่า นะ มะ พะ ทะ เช่น คาถานะเมตตา โมกรุณา พุทธปราณี ยินดี ยะ เอ็นดู ต้องประจุฤทธิ์ด้วย นะ มะ พะ ทะ ให้ ดิน น้ำ ลม ไฟเป็นสื่อพาไปจึงจะได้ผล  
     หลวงพ่อแช่ม เฝ้าปรนนิบัติวัฎฐากอาจารย์อยู่เป็นเวลานาน ๓ พรรษา จึงได้รับถ่ายทอดวิชาอาคมจากอาจารย์สมปรารถนา 
     ลูกศิษยหลวงพ่อทา  รุ่นหลังหลวงพ่อแช่มอีกองค์คือ หลวงพ่อเต้ คงทอง วัดสามง่าม อำเภอดอนตูม จังหวัดนครปฐม บัดนี้ก็เป็นพระอาจารย์มีชื่อเสียงโด่งดัง  
(โปรดติดตามตอนต่อไป)