พรรษาสี่กำลังกล้า
มีคำพังเพยพูดกันในสมัยน้ันในวงการพระภิกษุว่า "พรรษาหนึ่งกำลังผ่อง พรรษาสองกำลังงาม พรรษาสามกำลังดี พรรษาสี่กำลังกล้า พรรษาห้ากำลังแก่"
เพราะฉนั้นคนสมัยน้ัน ที่ไมคิดจะบวชจนตายในผ้าเหลือง ก็มักจะสึกเมื่อล่วงพรรษาที่สาม แต่ถ้าอยู่ถึงพรรษาที่สี่แล้ว ก็ว่าจิตใจกำลังแก่กล้าท่างธรรม ถ้าบวชอยู่ถึงห้าพรรษา ท่านว่ากำลังแก่ คือเริ่มจะแก่เสียแล้ว ความหมายเดิมท่านอาจจะหมายถึงจิตใจแก่กล้าหรือวิชาแก่กล้า หรือแก่ทางธรรมะธัมโม แต่พระที่บวชอยู่นั้นมักจะตีความไปทางแก่อายุ สึกออกไปก็จะมีเมียล่า เป็๋นขี้ข้าลูก คนสมัยนั้นจึงมักจะบวชกันเพียงสามพรรษา แล้วก็ลาสึกออกไปมีครอบครัวกันเสียโดยมาก
หลวงพ่อแช่ม บวชมาจนครบสามพรรษาแล้ว พระภิกษุเพื่อนฝูงรุ่นเดียวกันก็สึกออกไปเกือบหมด พอสึกออกไปก็ไปมีลูกมียกันโดยมาก พ่อแม่ของผู้หญิงเขาก็เต็มใจให้ลูกสาวแต่งงานกับ "บัณฑิตทางศาสนา" คือ ทิดสึกใหม่ เมื่อมีการพิธีแต่งงานทำบุญซัดน้ำ จะนิมนต์พระสงฆ์ไปสวดอวยชัยให้พร เมื่อเจ้าบ่าวเจ้าสาวทำบุญตักบาตรแล้ว พระฉันอาหารเสร็จ พระท่านจะทำน้ำมนต์ขันใหญ่ เจ้าบ่าวเจ้าสาวนั่งข้างหน้าหมู่พระสงฆ์ พระท่านจะตักน้ำมนต์สาดซัดไปที่ร่างของเจ้าบ่าวเจ้าสาว และพระสงฆ์ทั้งน้ันก็สวดชยันโตอวยพรให้พร ขันน้ำมนต์จะส่งเลื่อนไปให้พระองค์ถัดไปซัดน้ำจนครบ ๑๐ องค์ เจ้าบ่าวเจ้าสาวก็เปียกไปทั้งตัวเหมือนอาบน้ำมนต์ เขาจึงเรียกว่า ทำบุญซัดน้ำ ไม่ใช่หลั่งน้ำพระพุทธมนต์ประสาทพรเป็นพิธี เป็นพิธีไทยแท้แต่โบราณ
หลวงพ่อแช่มเคยไปในพิธีสวดมนต์ทำบุญซัดน้ำอย่างนี้แล้ว ก็มานึกจินตนาการว่า "เนื้อคู่" นั้นคืออะไร หลวงพ่อแช่มมองเห็นเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่นั่งหมอบให้ซัดน้ำนั้นแล้ว ก็โปร่งแจ้งขึ้นในใจว่า คำว่า "เนื้อคู่" ช่างเหมาะเจาะดีแท้ เพราะเนื้อหุ้มกระดูกคู่หนึ่งมานั่งหมอบก้มหน้าให้พระซัดน้ำนี้เอง เนื้อก้อนหนึ่งเป็นเพศชาย เนื้ออีกก้อนหนึ่งเป็นเพศหญิง ก่อกำเนิดขึ้นคนละพ่อแม่
คำว่า "หนังคู่" คือหนังหุ้มกระดูกไว้ให้ดูเปล่งปลั่ง ผุดผ่องสวยงาม แต่ภายใต้หนังคู่นี้มีอะไรเล่า ถ้าไม่ใช่เลือดเนื้อเส้นเอ็น กระดูก ร่างกายเรานี้สวยงามแต่ภายนอก หลอกลวงคนเราให้หลงติดอยู่ให้หลงรักหลงชังอยู่เท่านั้น ภายใต้หนังคู่นี้ ไม่มีอะไรน่าชื่นชมยินดีมีแต่เลือดเนื้อคูตมูตร สิ่งเน่าเหม็น รอวันแก่ชราและตายเท่าน้ัน
คำว่า "กระดูกคู่" เป็นอีกคำหนึ่ง ที่ชอบพูดกันถึงคนที่เป็นคู่ผัวตัวเมียกันได้ยึดยาว "เนื้อคู่-หนังคู่-กระดูกคู่" นี้หลวงพ่อแช่มมองทะลุปรุโปร่งว่า กระดูกคู่นี้ก็เน่าเปื่อยผุพังเป็นดินในที่สุด ไม่มีอะไรเหลืออยู่ในโลก
เมื่อหลวงพ่อแช่ม คิดด้วยตาใจ ได้ธรรมจักษุเช่นนี้แล้ว หลวงพ่อแช่มก็นึกเบื่อหน่ายในชีวิตครองเรือน ไม่คิดจะสึกออกไปมีชีวิตคู่ครองเรือนเลย
ช่วงชีวิตทางสองแพร่งนี้ ที่ทำให้หลวงพ่อแช่มตัดสินใจว่าจะเลือกเดินทางชีวิตอย่างไร จะบวชอยู่ต่อไปหรือสึกไปครองเรือน แต่เผอิญหลวงพ่อแช่ม มีรูปร่างหน้าตาขี้ริ้ว ไม่มีเสน่ห์ชวนให้ผู้หญิงมาสนใจ แต่กลับเป็นคุณประโยชน์แก่การดำเนินชีวิต เพราะพระที่รูปหล่อนั้นมักบวชอยู่ในผ้าเหลืองได้ไม่นาน ไม่ทนอยู่จนตายในผ้าเหลืองเหมือนหลวงพ่อแช่ม
หลวงพ่อแช่ม กลับวัดแล้วก็ครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ นึกถึงพระเพื่อนฝูงที่สึกออกไปก็ไปทำนากันอยู่กลางแดด หลวงพ่อแช่มจึงตัดสินใจว่า ชีวิตนี้จะอยู่ในผ้าเหลืองตลอดชีวิต
คำว่า "หนังคู่" คือหนังหุ้มกระดูกไว้ให้ดูเปล่งปลั่ง ผุดผ่องสวยงาม แต่ภายใต้หนังคู่นี้มีอะไรเล่า ถ้าไม่ใช่เลือดเนื้อเส้นเอ็น กระดูก ร่างกายเรานี้สวยงามแต่ภายนอก หลอกลวงคนเราให้หลงติดอยู่ให้หลงรักหลงชังอยู่เท่านั้น ภายใต้หนังคู่นี้ ไม่มีอะไรน่าชื่นชมยินดีมีแต่เลือดเนื้อคูตมูตร สิ่งเน่าเหม็น รอวันแก่ชราและตายเท่าน้ัน
คำว่า "กระดูกคู่" เป็นอีกคำหนึ่ง ที่ชอบพูดกันถึงคนที่เป็นคู่ผัวตัวเมียกันได้ยึดยาว "เนื้อคู่-หนังคู่-กระดูกคู่" นี้หลวงพ่อแช่มมองทะลุปรุโปร่งว่า กระดูกคู่นี้ก็เน่าเปื่อยผุพังเป็นดินในที่สุด ไม่มีอะไรเหลืออยู่ในโลก
เมื่อหลวงพ่อแช่ม คิดด้วยตาใจ ได้ธรรมจักษุเช่นนี้แล้ว หลวงพ่อแช่มก็นึกเบื่อหน่ายในชีวิตครองเรือน ไม่คิดจะสึกออกไปมีชีวิตคู่ครองเรือนเลย
ช่วงชีวิตทางสองแพร่งนี้ ที่ทำให้หลวงพ่อแช่มตัดสินใจว่าจะเลือกเดินทางชีวิตอย่างไร จะบวชอยู่ต่อไปหรือสึกไปครองเรือน แต่เผอิญหลวงพ่อแช่ม มีรูปร่างหน้าตาขี้ริ้ว ไม่มีเสน่ห์ชวนให้ผู้หญิงมาสนใจ แต่กลับเป็นคุณประโยชน์แก่การดำเนินชีวิต เพราะพระที่รูปหล่อนั้นมักบวชอยู่ในผ้าเหลืองได้ไม่นาน ไม่ทนอยู่จนตายในผ้าเหลืองเหมือนหลวงพ่อแช่ม
หลวงพ่อแช่ม กลับวัดแล้วก็ครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ นึกถึงพระเพื่อนฝูงที่สึกออกไปก็ไปทำนากันอยู่กลางแดด หลวงพ่อแช่มจึงตัดสินใจว่า ชีวิตนี้จะอยู่ในผ้าเหลืองตลอดชีวิต
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น