วันพุธที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง พรรษาสี่กำลังกล้า


พรรษาสี่กำลังกล้า

     มีคำพังเพยพูดกันในสมัยน้ันในวงการพระภิกษุว่า "พรรษาหนึ่งกำลังผ่อง  พรรษาสองกำลังงาม พรรษาสามกำลังดี พรรษาสี่กำลังกล้า พรรษาห้ากำลังแก่"  
     เพราะฉนั้นคนสมัยน้ัน ที่ไมคิดจะบวชจนตายในผ้าเหลือง  ก็มักจะสึกเมื่อล่วงพรรษาที่สาม แต่ถ้าอยู่ถึงพรรษาที่สี่แล้ว  ก็ว่าจิตใจกำลังแก่กล้าท่างธรรม ถ้าบวชอยู่ถึงห้าพรรษา ท่านว่ากำลังแก่ คือเริ่มจะแก่เสียแล้ว ความหมายเดิมท่านอาจจะหมายถึงจิตใจแก่กล้าหรือวิชาแก่กล้า  หรือแก่ทางธรรมะธัมโม  แต่พระที่บวชอยู่นั้นมักจะตีความไปทางแก่อายุ  สึกออกไปก็จะมีเมียล่า เป็๋นขี้ข้าลูก  คนสมัยนั้นจึงมักจะบวชกันเพียงสามพรรษา  แล้วก็ลาสึกออกไปมีครอบครัวกันเสียโดยมาก

     หลวงพ่อแช่ม  บวชมาจนครบสามพรรษาแล้ว   พระภิกษุเพื่อนฝูงรุ่นเดียวกันก็สึกออกไปเกือบหมด  พอสึกออกไปก็ไปมีลูกมียกันโดยมาก  พ่อแม่ของผู้หญิงเขาก็เต็มใจให้ลูกสาวแต่งงานกับ "บัณฑิตทางศาสนา" คือ ทิดสึกใหม่ เมื่อมีการพิธีแต่งงานทำบุญซัดน้ำ จะนิมนต์พระสงฆ์ไปสวดอวยชัยให้พร เมื่อเจ้าบ่าวเจ้าสาวทำบุญตักบาตรแล้ว พระฉันอาหารเสร็จ พระท่านจะทำน้ำมนต์ขันใหญ่  เจ้าบ่าวเจ้าสาวนั่งข้างหน้าหมู่พระสงฆ์ พระท่านจะตักน้ำมนต์สาดซัดไปที่ร่างของเจ้าบ่าวเจ้าสาว และพระสงฆ์ทั้งน้ันก็สวดชยันโตอวยพรให้พร ขันน้ำมนต์จะส่งเลื่อนไปให้พระองค์ถัดไปซัดน้ำจนครบ ๑๐ องค์ เจ้าบ่าวเจ้าสาวก็เปียกไปทั้งตัวเหมือนอาบน้ำมนต์  เขาจึงเรียกว่า ทำบุญซัดน้ำ    ไม่ใช่หลั่งน้ำพระพุทธมนต์ประสาทพรเป็นพิธี เป็นพิธีไทยแท้แต่โบราณ 

     หลวงพ่อแช่มเคยไปในพิธีสวดมนต์ทำบุญซัดน้ำอย่างนี้แล้ว ก็มานึกจินตนาการว่า "เนื้อคู่"  นั้นคืออะไร  หลวงพ่อแช่มมองเห็นเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่นั่งหมอบให้ซัดน้ำนั้นแล้ว ก็โปร่งแจ้งขึ้นในใจว่า คำว่า "เนื้อคู่"  ช่างเหมาะเจาะดีแท้ เพราะเนื้อหุ้มกระดูกคู่หนึ่งมานั่งหมอบก้มหน้าให้พระซัดน้ำนี้เอง  เนื้อก้อนหนึ่งเป็นเพศชาย  เนื้ออีกก้อนหนึ่งเป็นเพศหญิง  ก่อกำเนิดขึ้นคนละพ่อแม่  
     คำว่า "หนังคู่" คือหนังหุ้มกระดูกไว้ให้ดูเปล่งปลั่ง  ผุดผ่องสวยงาม แต่ภายใต้หนังคู่นี้มีอะไรเล่า  ถ้าไม่ใช่เลือดเนื้อเส้นเอ็น กระดูก  ร่างกายเรานี้สวยงามแต่ภายนอก  หลอกลวงคนเราให้หลงติดอยู่ให้หลงรักหลงชังอยู่เท่านั้น  ภายใต้หนังคู่นี้ ไม่มีอะไรน่าชื่นชมยินดีมีแต่เลือดเนื้อคูตมูตร สิ่งเน่าเหม็น รอวันแก่ชราและตายเท่าน้ัน 
    คำว่า "กระดูกคู่"  เป็นอีกคำหนึ่ง ที่ชอบพูดกันถึงคนที่เป็นคู่ผัวตัวเมียกันได้ยึดยาว  "เนื้อคู่-หนังคู่-กระดูกคู่"  นี้หลวงพ่อแช่มมองทะลุปรุโปร่งว่า กระดูกคู่นี้ก็เน่าเปื่อยผุพังเป็นดินในที่สุด ไม่มีอะไรเหลืออยู่ในโลก 

     เมื่อหลวงพ่อแช่ม คิดด้วยตาใจ ได้ธรรมจักษุเช่นนี้แล้ว หลวงพ่อแช่มก็นึกเบื่อหน่ายในชีวิตครองเรือน ไม่คิดจะสึกออกไปมีชีวิตคู่ครองเรือนเลย 
     ช่วงชีวิตทางสองแพร่งนี้ ที่ทำให้หลวงพ่อแช่มตัดสินใจว่าจะเลือกเดินทางชีวิตอย่างไร จะบวชอยู่ต่อไปหรือสึกไปครองเรือน แต่เผอิญหลวงพ่อแช่ม มีรูปร่างหน้าตาขี้ริ้ว ไม่มีเสน่ห์ชวนให้ผู้หญิงมาสนใจ แต่กลับเป็นคุณประโยชน์แก่การดำเนินชีวิต เพราะพระที่รูปหล่อนั้นมักบวชอยู่ในผ้าเหลืองได้ไม่นาน ไม่ทนอยู่จนตายในผ้าเหลืองเหมือนหลวงพ่อแช่ม   
     หลวงพ่อแช่ม กลับวัดแล้วก็ครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ นึกถึงพระเพื่อนฝูงที่สึกออกไปก็ไปทำนากันอยู่กลางแดด หลวงพ่อแช่มจึงตัดสินใจว่า ชีวิตนี้จะอยู่ในผ้าเหลืองตลอดชีวิต 

(โปรดติดตามตอนต่อไป)
     
    

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น