วันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง (ตอน ป่าช้า ป่าดี)


ป่าช้า ป่าดี

     หลวงพ่อทา พระอุปัชฌาชย์ของหลวงพ่อแช่ม  เป็นพระสงฆ์สมัยโบราณ ท่านเข้าใจดีถึงชีวิตจิตใจระดับชาวบ้านว่าเชื่อผี กลัวผี ท่านรู้ดีว่า พระลูกวัดของท่านคือลูกชาวบ้าน ย่อมจะเชื่อเรื่องผีและกลัวผี ท่านจึงฝึกหัดพระของท่านให้กล้าผี 
     เริ่มแต่พรรษาแรกมาอยู่กับท่าน  ท่านสอนให้ปลงกรรมฐาน ทำนให้นั่งภาวนาพิจารณาให้เห็นกายในกายว่า ร่างกายของคนเรานี้ ไม่มีแก่นสารอะไร  ประกอบขึ้นหรือปรุงแต่งขึ้นด้วยอาการ ๓๒ ได้แก่ เกสา-ผม โลมา-ขน นะขา-เล็บ ทันตา-ฟัน ตะโจ-ผิวหนัง มังสัง-เนื้อ นหารู-เอ็น อัฐิ-กระดูก อัฐมิญชัง-เยื่อในกระดูก วักกัง-ม้าม หทยัง-หัวใจ ยกะนัง-ตับ กิโลมะกัง-พังผืด ปิหะกัง-ไต ปัปผาสัง-ปอด อันตัง-ไส้ใหญ่ อันตะคุนัง-ไส้น้อย อุทะริยัง-อาหารใหม่ กรีสัง-อาหารเก่า มัตถะลุงคัง-มันสมอง ปิตตัง-ดี เสมมัง-เสมหะ ปุพโพ-น้ำเหลือง โลหิตัง-เลือด เสโท-เหงื่อ เมโท-มัมชัน อัสสุ- น้ำตา วสา-มันเหลว เขโล-น้ำลาย สิงฆานิกา-น้ำมูก ละสิกา-น้ำไขข้อ มุตตัง-น้ำมูตร รวมเรียกว่า อาการ ๓๒ นี้ประกอบกันขึ้นเป็นร่างกายคน สัตว์ เราเขา เหมือนกันทุกรูปทุกนาม  ไม่ว่าหญิงว่าชายเด็กหรือผู้ใหญ่ ไพร่หรือผู้ดี มีหรือจน  อาการ ๓๒ เหล่านี้ เมื่อยังมีลมหายใจอยู่ ก็เคลื่อนไหวได้ ทำงานได้ พูดได้ กินได้ รู้สึกนึกคิดได้สารพัด  กระทำกรรมต่างๆ ได้ทางกายเรียกว่า กายกรรม ทางวาจาเรียกว่า วจีกรรม ทางใจเรียกว่า มโนกรรม ทำดี พูดดี คิดดี ก็เป็นบุญกุศล เป็นประโยชน์ต่อตนและผู้อื่น ถ้าทำชั่ว พูดชั่ว คิดชั่วก็เป็นบาปเป็นอกุศล  ทำลายตนและผู้อื่น แต่ท้ายที่สุดคนเราไม่ว่าคนดีคนชั่ว เกิดมาแล้วก็ไม่เที่ยงแท้ถาวรอยู่ค้ำฟ้า   เกิดมาแล้วก็เจริญเติบโต  เป็นหนุ่มสาว คร้ันแล้วก็แก่ชรา หูตาก็มืดมัว  ฟันก็ห่างหัก ผมก็หงอกขาว  ผิวพรรณก็เหี่ยวย่น  เหมือนผลไม้มะม่วงมีระยะเท่าหัวแมลงวัน  โตขึ้นเป็นมะม่วงขบเผาะ  เข้าไคล ดิบ แล้วก็ห่าม แก่ สุก แล้วก็งอม ไม่มีใครสอยก็ร่วงหล่นจากต้น  เน่าเปื่อยไป เหลือแต่เมล็ด สำหรับงอกขึ้นเป็นต้นมะม่วงต้นใหม่ต่อไป 

      ชีวิตคนเราก็เป็นเช่นนี้ทุกรูปทุกนาม  มีเกิด แก่ เจ็บ และตาย เมื่อสิ้นลมหายใจแล้ว ร่างกายก็เย็ฺนชืด แข็งทือ และเน่าอืด ขึ้นพองมีน้ำเหลืองน้ำหนองไหลส่งกลิ่นเหม็น ลูกเมียที่เคยรักใคร่อย่างสุดสวาทขาดใจ พอร่างกายเน่าเหม็นแล้วก็เกลียดกลัว  ต้องเอาไปฝังไปเผาเสียในป่าช้า  ต้องพลัดพรากจากกันไปชั่วชีวิต คนเราทุกคนก็ต้องเป็นเช่นนี้ในวันข้างหน้า  เราจะต้องตาย ต้องพลัดพรากจากลูกเมีย จากทรัพย์สมบัติที่เก็บหามาได้  เดินทางไปสู่โลกหน้าด้วยตัวคนเดียว ไม่มีอะไรติดตามตัวไปได้  มีแต่บุญกุศลที่ทำไว้เท่านั้น ทำไว้ต่างกันก็มีที่ไปต่างกัน  เพราะฉนั้นการที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนานี้นับว่าเป็นบุญกุศลยิ่ง  ยิ่งได้มาบวชในพระพุทธศาสนาก็นับว่าเกิดมาชาตินี้ไม่เสียที ขอให้ตั้งหน้าบำเพ็ญเพียรภาวนาไปด้วยความอุตสาหะหมั่นขยันพิจารณากายในกาย มองให้เห็นกายในกายว่า  ร่างกายเรานี้มีแต่ความผันแปรไม่เที่ยงแท้แน่นอนอยู่อย่างนี้  เราต้องแก่ ต้องเจ็บไข้ และท้ายที่สุดชีวิตทุกชีวิตก็ต้องพ่ายแพ้แก่โรคพยาธิต้องตายไปทุกชีวิต  เพราะเหตุดังนี้แหละสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจา พระบรมศาสดาของเรา จึงตรัสสอนไว้ว่า  ชีวิตเป็นอนิจจัง-ไม่เที่ยง ชีวิตเป็นทุกข์ด้วยโรคภัยไข้เจ็บ  ชีวิตเป็นอนัตตา-ไม่ใช่ตัวตนเราเขาที่จะดำรงอยู่ได้ตลอดกาล  
     
     หลวงพ่อทาสอนให้ปลงกรรมฐาน ให้พิจารณาภายในกายนี้เสมอๆ พิจารณาทุกวัน ทุกชั่วโมง  ทุกนาทีและทุกขณะจิต  โดยให้ภาวนา "เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ"   เวลาจะย่างก้าวไปบิณฑบาตรก็ดี จะนั่งก็ดี นอนก็ดี ยืนก็ดี ให้ภาวนาทั้ง ๕ คำนี้อยู่เสมอ ยิ่งกว่าน้ันยังให้หัดบำเพ็ญภาวนานั่งสมาธิ เพ่งพิจารณาภายในกาย ให้ถลกหนังตัวเองออก แล่เนื้อออกไปกองไว้ให้เหลือแต่โครงกระดูก ที่จะเน่าเปื่อยผุพังเป็นขุยละลายไปในดิน ท่านว่าให้ลองหัดตายเสียเนืองๆ เมื่อยังเป็นๆ ยังมีชีวิตอยู่  จะได้คุ้นเคยกับความตายเสียก่อนตาย 
     เวลาเขาหามผีมาฝังหรือเผาที่ป่าช้า  หลวงพ่อทาให้พระลูกวัดไปสวดศพเพ่งจิตบังสกุลให้คนตาย ท่านสอนว่าการชักบังสกุลให้เ่พ่งมองที่หน้าศพน้ันขณสวดบังสกุลด้วยบท "อนิจจา สตะ สังขารา-" ให้นึกปลงกรรมฐานไปด้วยในใจว่า "สังขารนี้ไม่เที่ยงหนอ มีความผันแปรไปดังนี้ เมื่อเกิดมาแล้ว ก็มีความป่วย มีความตายในที่สุด ความตายนี้แหละคือ ความสงบสุข"  การปลงกรรมฐานนี้ทำให้เบาบาง ปล่อยวางจากกิเลสตัณหา ลดความโลภ ความโกรธ ความหลง บรรเทากามราคะได้  การปลงกรรมฐานนี้จึงเป็นการทำบุญกุศลให้แก่ตนด้วยการปฎิบัติธรรม 

     หลวงพ่อทาท่านว่า  ป่าช้าเป็นป่าชั่วช้า เพราะเป็นป่าผี ป่าที่มีแต่ซากศพ แต่พระไปอยู่ป่าช้าแล้ว ก็เป็นป่าดี เป็นป่าแก้ว ป่าที่พระอยู่จึงเรียกว่าป่าแก้ว เป็นป่าที่สงบสงัด เป็นป่าที่แสวงธรรมของสาธุชน  เป็นป่าทีปฎิบัติธรรมของลูกพระตถาคต เป็นป่าที่บำเพ็ญสมณธรรมของพระอริยสงฆ์  
     แม้พระที่ศีลบริสุทธิ์ ท่านก็แนะนำให้ไปบำเพ็ญสมณธรรมในป่า ให้ปลงกรรมฐานในป่าช้า นั่งข้างๆหลุมศพที่ฝังใหม่ๆ เพ่งมองให้เห็นว่า ซากศพนั้นกำลังขึ้นพอง มีแต่น้ำเลือดน้ำเหลือง  เนื้อหนังเปื่อยเน่านอนอยู่อย่างโดดเดี่ยวในหลุมนั้น ชีวิตทุกชีวิตต้องจบลงเมื่อแผ่นดินกลบหน้าเช่นนี้ทุกคน  ไม่ว่าไพร่ ผู้ดี เศรษฐี ยาจก ชีวิตนี้้สั้นนัก จึงควรสันโดษพอใจในชีวิตที่เป็นอยู่มีอยู่  ไม่ทุจริตเบียดเบียนเพื่อนมนุษย์  ประกอบแต่การบุญกุศลไว้ 

       

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น