วันพุธที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง (อุปัชฌาชย์เข้มงวดวิชา)


อุปัชฌาชย์เข้มงวดวิชา

     หลวงพ่อแช่ม บวชแล้วมิได้อยู่จำพรรษาที่วัดตาก้อง  ได้ติดตามพระอุปัชฌาชย์ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดพะเนียงแตก ตำบลบางแค อำเภอเมืองนครปฐม  ซึ่งมีชื่อว่า อำเภอพระปฐมเจดีย์ในสมัยก่อน  อุปัชฌาชย์ของหลวงพ่อแช่ม ชื่อพระครูอุตรการบดี (หลวงพ่อทา)  เป็นเจ้าอาวาสวัดพะเนียงแตก  และมีตำแหน่งเป็นเจ้าคณะแขวงเมืองนครปฐมด้วย   พระครูอุตรการบดีองค์นี้ ชาวบ้านรู้จักกันในนามหลวงพ่อทา* เป็นพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในสมัยน้ัน  มีคนรู้จักนับถือท่านมากตามตำบลใกล้เคียง ตลอดไปถึงต่างอำเภอ ต่างจังหวัด เช่น อำเภอนครชัยศรี อำเภอบางเลน จนถึงเมืองสุพรรณบุรี สมัยนั้นการคมนาคมยังไม่สะดวกรวดเร็วเหมือนสมัยนี้ พระอาจารย์ที่มีคนรู้จักนับถือไปจนถึงต่างบ้านต่างเมืองเช่นนี้ นับว่าโด่งดังมากทีเดียว   หลวงพ่อทาองค์นี้ มีสมญาเรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่า "หลวงพ่อเสือ"  เพราะท่านดุนัก คนทั่วไปกลัวกันมาก แม้พวกนักเลงใหญ่ๆ ก็กลัวท่าน สมัยนั้นยังมีกฎหมายที่เรียกว่า อาญาวัด ให้อำนาจแก่สมภารเจ้าอาวาสมีอำนาจลงโทษ จับกุม คุมขัง ข้าวัดหรือเลขวัดผู้ปฎิบัติพระสงฆ์ได้   คำว่า "สมโณครัว" ก็มาแต่ความหมายว่า "ครัวสงฆ์" นั่นเอง คือวัดหนึ่งต้องทำบัญชีคนในปกครองไว้  ตั้งแต่พระภิกษุสงฆ์ สามเณร เลขวัด และคนที่อาศัยวัดทั้งหมด คนเหล่านี้รวมเรียกว่า "สมโณครัว"  เมื่อมีการสำรวจพลเมืองทั่วประเทศภายหลัง จึงยืมคำนี้มาใช้ 
     พระครูอุตรการบดี(ทา) นี้ ท่านมีชื่อเสียงโด่งดังมากอยู่ระหว่างพ.ศ.๒๔๐๐- พ.ศ.๒๔๕๐ ท่านเป็นพระนักปฎิบัติ เชี่ยวชาญทางสมณกรรมฐานมีพลังจิตกล้าแข็ง  ท่านทำเครื่องรางของขลังไว้แจกเมื่อคราวสร้างโบสถ์วัดพะเนียงแตก
     หลวงพ่อทา เป็นพระนักปฎิบัติ เมื่อท่านยังหนุ่มท่านก็ชอบธุดงค์ไปตามป่าเขา เมื่อมีตำแหน่งเป็นสมภารเจ้าอาวาส ท่านก็ยังชอบเข้าป่า หลวงพ่อทาเป็นช่างและเป็นนักก่อสร้างอยู่ด้วย โบสถ์ ศาลาการเปรียญก็สร้างไว้ใหญ่โตกว้างขวาง สมัยน้ันมีพระบวชเก่า พระบวชใหม่ และพระจรมาอยู่ ปีหนึ่งไม่น้อยกว่า ๗๐-๘๐ องค์ วัดพะเนียงแตกจึงเป็นวัดที่คึกคักมาก 
     เพราะหลวงพ่อทาเป็นพระมีชื่อเสียงนี่แหละ หลวงพ่อแช่มจึงติดตามไปอยู่วัดพะเนียงแตก  รับใช้ปรนนิบัติอุปัชฌาชย์ มุ่งหวังเพื่อจะร่ำเรียนธรรมะปฎิบัติกับท่าน และอยากมีคาถาอาคมจากท่านด้วย 
      แต่การจะได้เล่าเรียนนั้น ก็ต้องใช้ความอุตสาหะพากเพียรอย่างสูง ต้องเป็นคนมีความอดทน อดกลั้นอย่างยิ่ง  ยอมรับใช้ปรนนิบัติอาจารย์ทุกอย่าง ยิ่งกว่าลูกปฎิบัติต่อพ่อแม่ ต้องยอมทนคำดุด่าว่ากล่าวของอาจารย์ ไม่ย่อท้อ เบื่อหน่ายท้อถอยให้ท่านรักใคร่ไว้ใจจริงๆว่า เป็นคนอดทนซื่อสัตย์กตัญญู ไม่ลบหลู่คุณครูอาจารย์ นั่นแหละท่านจึงจะยอมสอนวิชาให้
     หลวงพ่อแช่ม เกิดมาเป็นลูกคนจน เคยลำบากมาทุกอย่าง เคยนอนแคร่ ตากยุงใต้ถุนบ้าน เคยเป็นเด็กเลี้ยงควายอยู่ชายทุ่ง  เคยแม้กระทั่งขอทานเขา  เมื่อมาบวชกับหลวงพ่อทา จีงทำได้ทุกอย่างที่จะปรนนิบัติท่านได้ ด้วยตั้งใจแน่วแน่ว่าจะขอเรียนวิชาการทุกอย่างจากหลวงพ่อทา  จึงคอยรับใช้ใกล้ชิด ปรนนิบัติวัฎฐากทุกอย่าง  สิ่งใดเห็ฯว่าควรทำจะทำทุกอย่าง ไม่ต้องบอกไม่ต้องออกปากใช้   การปรนนิบัตินี้ยิ่งกว่าที่เคยปรนนิบัติกับใครๆ แม้แต่กับพ่อแม่ก็ไม่เคยทำให้ เริ่มต้ังแต่ตื่นแต่ย่ำรุ่งก่อนตีสี่ติดไฟต้มน้ำร้อน  เตรียมชงน้ำชาไว้ก่อนท่านอาจารย์จะตื่น   พอตืนขึ้นก็จัดขันน้ำวางเตรียมไว้ให้ท่าน  พอสายไปบิณฑบาต เห็นมีสิ่งใดเป็นอาหารดี อาหารแปลก จะต้องนำมาถวายอาจารย์ทุกวัน สังเกตุดูว่าท่านชอบฉันอะไร ก็จดจำไว้ เมื่อได้อาหารนั้นมาก็ถวายอาจารย์หมด ยอมอดไม่ฉันสิ่งน้ัน  เมื่ออาจารย์ป่วยจะเอาใจใส่ดูแลต้มข้าวต้ม หาอาหารมาให้ฉัน จำวัดตอนบ่ายก็จะคอยพัดวีมิให้ยุงมารบกวน จะคอยรับใช้ใกล้ชิดไม่ให้ต้องเรียกหา  
     ตกค่ำ ก็ต้องเตรียมต้มน้ำ ชงน้ำชาไว้ให้อาจารย์อีก   พระอาจารย์ก็จะอบรมสั่งสอนข้อปฎิบัติต่างๆ อาจารย์หมั่นสอนให้พิจารณาเนืองนิตย์ว่า กายนี้เป็นทุกข์ ไม่เที่ยงและไม่ใช่ตัวตนของเรา กายนี้มีความหิวโหย เหน็ดเหนื่อย ป่วยไข้อยู่เป็นประจำ ทุกสังขาร ร่างกายนี้ไม่เที่ยงแท้คงทนถาวร  อยู่เป็นเด็กแล้วก็เป็นหนุ่ม สาว แล้วก็แก่ชรา ผันแปรไปตลอดเวลา เรียกว่าความไม่เที่ยงแท้ กายนี้ในที่สุดก็จะถึงกาลดับสูญ แตกสลายไปในวันหนึ่งข้างหน้า เราจะต้องพลัดพรากจากคนที่เคยรักใคร่ เคยเห็นหน้ากัน  แล้วก็ทิ้งร่างกายของตนให้ไว้เน่าเปื่อย ผุพังไปเหลือแต่กระดูก  แม้กระดูก็ถูกเผาไหม้เป็นเถ้าถ่าน เป็นดินในที่สุด ชีวิตร่างกายเรานี้ เกิดขึ้นชั่วครู่ชั่วยาม แล้วก็แตกดับสลายไป หาแก่นสารอะไรมิได้  ให้พิจารณาเนืองๆว่า ผิวพรรณที่เคยเปล่งปลั่งก็เหี่ยวไป ผมที่เคยดกดำก็หงอก ฟันเคยสวยงามครบถ้วนก็หักหมดไป ให้ภาวนาอยู่เนืองๆว่า
     "เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ"  ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ย่อมเปลี่ยนแปรไปไม่คงที่ ทนถาวรอยู่ได้
     ให้พิจารณาให้เห็นภายในกาย  มองร่างกายที่มีผ้าแพรพรรณหุ้มห่ออยู่ให้ทะลุถึงเนื้อหนัง มองให้ทะลุถึงกระดูก เลือด เนื้อ เส้นเอ็น ตัว ไต ไส้พุ คูถมูตรที่หมักหมมอยู่ในกายเรานี้  ว่าไม่มีอะไรน่าชื่นชมยินดี  ล้วนแต่เน่าเหม็นผุพังทั้งสิ้น  อย่าไปคิดอยู่ที่ผิวพรรณเครื่องนุ่งห่มภายนอก ให้นั่งภาวนาหลับตามองเห็นภายในกายดังนี้ ให้นั่งภาวนาแยกแยะชำแหละร่างกายออกไปเป็นส่วนๆ ลอกหนังออกก่อนให้เหลือแต่เนื้อแดงๆ ชำแหละเนื้อออกให้เหลือแต่โครงกระดูก นั่งภาวนามองให้เห็นกระดูกผุพังลงจนเป็นขุยดิน  ถ้าจิตใจยังดื้อดึงแข็งกระด้าง ก็ให้ไปนั่งในป่าช้า  พิจารณาซากศพที่ตายใหม่และตายเก่า  และโครงกระดูกผีตาย  ท่านว่าเวลาบ้านไหนมีคนตาย มีญาติมานิมนต์ไปสวดหน้าศพ ก็จะไปสวดให้จะได้บุญกุศลแก่เรา  เราเองก็จะต้องตายเช่นนี้ ความตายเป็นความโศกเศร้า เป็นการจากกันชั่วชีวิต ทรัพย์สมบัติ ลูกเมีย ไร่นา บ้านเรือน แก้วแหวนเงินทองมันเป็นแต่ของประดับโลก ไม่ใช่ทรัพย์สมบัติของใคร  คนตายก็ตายไปแต่ตัว สิ่งที่ติดตามตนไปเป็นเสบียงในภพหน้า คือบุญกุศลเท่านั้น  เพราะฉนั้นอย่าหลงใหลได้ปลื้มในทรัพย์สมบัติ ลูกเมีย เหล่านี้  คนที่มีโอกาสได้บวชเรียนนั้นเท่ากับได้เกิดมาสร้างกองบุญกองกุศลไว้ 
     เวลาฉันอาหารหน้าศพน้ัน ถึงจะมีกลิ่นเหม็นเพียงไร ก็ให้อดกลั้น ตั้งใจฉันเหมือนปกติ จะได้ปลงธรรมสังเวชไปด้วยว่า อาหารที่เราฉันนี้ ก็เพื่อจะยังอัตภาพให้เป็นไปเท่านั้น  มิได้ฉันเพื่อเห็นแก่รสอร่อย หลงเพลิดเพลินในรสอาหารนั้น  การฉันอาหารหน้าศพจึงได้บุญกุศล เพราะเท่ากับว่าได้พิจารณาถึงชีวิตและความเป็นจริง
     สมัยก่อน โลงศพไม่ได้หาจากร้านที่ต่อเสร็จเรียบร้อยเหมือนปัจจุบัน  โลงศพน้ันใช้ไม้กระดานมาต่อกัน พอใส่ศพได้ รอยต่อก็ไม่สนิทเพราะฉนั้นจึงส่งกลิ่นเหม็นคละคุ้งไปทั่วบริเวณ  พระบวชใหม่ไม่ใคร่จะมีใครอยากไปสวดและฉันอาหารหน้าศพเลย แต่หลวงพ่อท่านบังคับให้ทุกองค์หมุนเวียนกันไป  เพื่อจะได้ปลงธรรมสังเวช และฝึกกรรมฐาน  ให้เตรียมตัวเตรียมใจไว้ในชีวิตว่าคนจะได้พบความตายในที่สุด
     หลวงพ่อแช่มดูแลปรนนิบัติหลวงพ่อทาจนถึงพรรษา ๒ พรรษา ๓ ท่านจึงเกิดความเมตตาสอนคาถาอาคมให้ ก่อนสอนท่านให้ตั้งสัตย์ปฎิญาณว่าอย่างแข็งแรงว่า จะอยู่ในศีลในสัตย์ ปฎิบัติตามคำครูอาจารย์ แล้วท่านก็บอกปากเปล่าให้ท่องหัวใจพระคาถา ให้หัดนั่งภาวนา ปฎิบัติทางจิต  ประจุฤทธิพลังจิตลงให้ได้ผล  สอนอุปเทห์เคล็ดลับต่างๆให้ และให้หมั่นึกฝนจนมั่นใจ ท้ายที่สุดจึงทำพิธีครอบประสิทธิ์ประสาทวิชาให้ การเรียนวิชาอาคมนี้ มิใช่ว่า อ่านหนังสือได้ท่องคาถาได้ แล้วก็ใช้ได้ผล  จะต้องเรียนโดยมีครูอาจารย์ 
     หลวงพ่อแช่ม กล่าวว่า  ทุกสิ่งในโลกนี้สำเร็จด้วยธาตุ ๔ คือ ดิน  น้ำ ลม ไฟ คาถาต่างๆ ต้องใส่ธาตุทั้ง ๔ ด้วย จึงจะประสิทธิ์ผล ถามว่า ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ เอามาผสมกันอย่างไร ท่านว่า นะ มะ พะ ทะ เช่น คาถานะเมตตา โมกรุณา พุทธปราณี ยินดี ยะ เอ็นดู ต้องประจุฤทธิ์ด้วย นะ มะ พะ ทะ ให้ ดิน น้ำ ลม ไฟเป็นสื่อพาไปจึงจะได้ผล  
     หลวงพ่อแช่ม เฝ้าปรนนิบัติวัฎฐากอาจารย์อยู่เป็นเวลานาน ๓ พรรษา จึงได้รับถ่ายทอดวิชาอาคมจากอาจารย์สมปรารถนา 
     ลูกศิษยหลวงพ่อทา  รุ่นหลังหลวงพ่อแช่มอีกองค์คือ หลวงพ่อเต้ คงทอง วัดสามง่าม อำเภอดอนตูม จังหวัดนครปฐม บัดนี้ก็เป็นพระอาจารย์มีชื่อเสียงโด่งดัง  
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
     

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น