วันอังคารที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2560

หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง (ตอน ไปไหว้แผ่นพระบาท)

ไปไหว้พระบาท

    พระพุทธบาท จังหวัดสระบุรีเป็นอีกแห่งที่คนไทยนับถือกันมาแต่โบราณว่าเป็นรอยพระบาทที่พระพุทธองค์เสด็จมาประทับรอยพระบาทไว้บนไหล่เขา  เพื่อเป็นเครื่องหมายนิมิตว่า พระพุทธองค์เคยเสด็จมาถึงที่น้ัน  แล้วประทับรอยพระบาทไว้สำหรับสาธุชนเคารพบูชา  อันรอยพระบาทน้ันท่านว่ามีรูปลักษณะอันเป็นมงคล ๑๐๘ ประการ  หากใครได้เคารพบูชาจะเกิดสวัสดิมงคลแก่ชีวิต  ผู้กราบไหว้จะได้เดินตามรอยพระยุคลบาทไๆปสู่สวรรค์นิพพานในภายภาคหน้า   ไม่หลงทางไปสู่ประตูอบายภูมิ คือไม่ต้องเกิดเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย  และสัตว์เดรัจฉาน ๔ ภูมินี้  อย่างต่ำจะได้เกิดเป็นมนุษย์  อย่างสูงจะได้เกิดเป็นพรหมในสวรรค์ช้้นพรหม ๑๖ ช้้น

     ความนิยมเชื่อถือ ศรัทธาของศาสนิกชนว่าคนไปนมัสการพระพุทธบาทเป็นบุญกุศลนั้นสืบเนื่องมาไม่ขาด  จนถึงรัชกาลที่ ๔ ก็เสด็จไปนมัสการ   รัชกาลที่ ๕ ก็เสด็จไปร่ายรำ-เพลงอาวุธบนหลังช้างถวาย  ตามธรรมเนียมโบราณขัติยราชประเพณี  ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินใครมีกำลังไปได้ก็พยายามเดินทางไปนมัสการกัน ทั้งคฤหัสถ์ชายหญิงและพระสงฆ์องค์เจ้า 

     หลวงพ่อแช่มก็ได้เดินทางไปนมัสการพระพุทธบาทตามประเพณี สมัยที่หลวงพ่อแช๋มไปนมัสการนั้น ตกในสมัยรัชกาลที่ ๕ สมัยน้ันรถรายังไม่มี  ถนนหนทางไม่มี ต้องเดินเท้า ขี่ม้า ขี่เกวียนกันท้ังสิ้น คนต่างบ้านต่างเมืองไปกันลำบาก ต้องนอนค้างอ้างแรมกันหลายคืน  กระนั้นก็อุตส่าห์บากบั่นกนัไปมากมาย ทั้งพระเณร ประสกสีกา พระก็ไปปักกลดอยู่รอบๆบริเวณเขาพระพุทธบาท กลดเกลื่อนไปดูเหมือนดอกเห็ดในฤดูฝน  ระหว่างทางนั้นมีบรรดายาจกวณิพกทั้งหลาย ทั้งง่อยเปลี้ยเสียขา ตาบอด เป็นโรคเรื้อนก็มีมาก  พากันมานั้่งขอทานอยู่เกลื่อนไป  หลวงพ่อแช่มได้เห็นคนขอทานแล้วก็คิดถึงความหลังคร้ังที่ท่านเที่ยวขอทานอยู่  แล้วก็คิดว่าได้พ้นสภาพเช่นนั้นมาแล้ว  เราจะเป็นผู้สร้างบารมีเสียเอง เราจะไม่เป็นผู้รับ ซึ่งอยู่ต่ำกว่า เราจะเป็นผู้ให้ซึ่งอยู่สูงกว่า  
     หลวงพ่อแช่ม กลับจากไหว้พระบาทคราวนั้นก็ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ว่า เราบวชเป็นพระนี้ ต้องภิกขาจารข้าวสุกชาวบ้านเลี้ยงชีพตามประเพณีของบุตรพระตถาคต  เราจะให้อะไรแก่ชาวบ้านได้บ้าง นึกถึงพระพุทธองค์ เป็นชาติกษัตริย์ ก็สละหมดสิ้น  ออกบวชภิกขาจารเพื่อโปรดสัตว์โลก  ให้รู้จัการเสียสละ เพื่อสั่งสอนชาวโลกให้อยู่เย็นเป็นสุข  ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง  ไม่เบียดเบียนกัน เป็นทีพึ่งแก่สัตว์โลก  สัตว์โลกมิได้เป็นสุขเพราะทรัพย์ศฤงคารและอาหารเท่านั้น สัตว์โลกเป็นสุขเพราะสัตว์โลกมีจิตใจเป็นสุขด้วยสีลด้วยธรรม  พระขอข้าวเขาเลี้ยงชีพมิได้มาเพื่อสะสม เลี้ยงบุตรภรรยา  แต่เพื่อมีชีวิตอยู่เป็นที่พึ่งแก่สัตว์โลก  เพื่อดำรงศีลดำรงธรรมให้มีอยู่คู่โลกเท่านั้น  

    การดำรงศีลดำรงธรรม เพียงการรักษาศีล ๒๒๗ และสวดมนต์พอแล้วหรือ ?   เราจะต้องดำรงศีลดำรงธรรมให้ยิ่งกว่า มิฉนั้นเราจะเป็นหนี้ข้าวสุกชาวบ้าน  ชาติหน้าเราอาจจะต้องไปเกิดเป็นควายไถนาใช้หนี้ข้าวสุกเขาก็ได้  

     คิดได้เช่นนี้แล้ว  หลวงพ่อแช่มก็เกิดความขวนขวายที่จะดำรงศีลดำรงธรรมให้ยิ่งกว่าแต่ก่อน  นั่นคือการดำเนินตามรอยพระบาท 

    พระพุทธองค์ ลำดับแต่ได้ตรัสรู้  มิได้เสด็จประทับจำพรรษาอยู่ณ ทีเดียวตลอดกาล  พระองค์เสด็จจารึกสัญจรไปเผยแพร่พระธรรมวินัย  จนตลอดพระชนมายุ  แม้วันเสด็จปรินิพพาน ก็ยังโปรดสุภัททปริพาชก ให้สำเร็จพระอรหันต์ เคยตรัสสั่งพระสาวกว่า 

     "ดูก่อน  ภิกษุทั้งหลาย  เธอจงท่องเที่ยวไป  เพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชนในโลกนี้ อย่าไปสองคน  จงไปแต่คนเดียว  จงท่องเที่ยวไปอย่างโดดเดี่ยวเหมือนนอแรด..."
( โปรดติดตามตอนต่อไป)

วันอังคารที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2560

หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง (ตอน ไปบังคมพระแท่น)


ไปบังคมพระแท่น

     ความสุขสงบที่ได้รับจากการนมัสการพระปฐมเจดีย์ในวันเพ็ญเดือนสิบสองปีน้ัน ทำให้หลวงพ่อแช่มเกิดความคิดที่จะท่องเที่ยวธุดงค์อีก แต่ยังไม่มีจุดหมายปลายทางแน่นอนว่าจะไปถึงไหนดี  ประกอบกับยังมิได้รับอนุญาตจากพระอาจารย์  หลวงพ่อแช๋มจึงเดินทางกลับวัด
     เผอิญในเดือนสี่ปีนั้น มีคนพูดถึงเรื่องจะไปนมัสการพระแท่นดงรัง  ที่เมืองกาญจนบุรี  พระภิกษุสงฆ์ก็ชักชวนกันเดินธุดงค์ไปกันหลายองค์  หลวงพ่อแช่มจึงขออนุญาตอาจารย์เดินทางไปบ้าง หลวงพ่อทาก็อนุญาต ซ้ำยังกล่าวส่งเสริมว่า   พระแท่นดงรังนั้นเป็นสังเวชนียสถานที่ควรเดินทางไปนมัสการเพราะเป็นสถานที่เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานของพระพุทธองค์ อุบาสกอุบาสิกาที่อุตสาหะเดินทางไปนมัสการหนหนึ่ง จะได้บุญกุศลมาก  ปราศจากเสียซึ่งเวรภัยนานาประการ  ถ้าได้ไปนมัสการคร้ังที่สองก็จะปิดบังอบายภูมิเสียได้ ถึงตายก็จะไม่ตกนรก  ถ้าหากมีความอุตสาหะพยายามเดินทางไปนมัสการได้สามคร้ัง ก็จะได้สวรรค์วิมานอันเป็นสุขในภพหน้า   ส่วนพระสงฆ์น้ันถ้าใครเดินทางไปนมัสการหนหนึ่ง ก็จะได้บวชทนไม่รนสึกออกมาหาความทุกข์ในโลกนี้   ถ้าไปนมัสการได้สองหนก็จะบวชอยู่จนตลอดชีวิต   ถ้าไปนมัสการได้สามคร้ังก็จะเจริญทางธรรม   บำเพ็ญสมถวิปัสสนา เข้าสู่กระแสโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล  เป็นพระอริยบุคคลตามแต่บุญวาสนาของตนที่ได้สั่งสมมาแต่ชาติปางก่อน   แต่สำหรับคนที่ยังมีกิเลสหยาบบาปหนา จะไม่มีบุญตาบุญใจได้ไปนมัสการพระแท่น 

     ความเชื่อของคนโบราณเช่นนี้ก็มีเหตุผลอยู่ เพราะการไปนมัสการพระแท่นดงรังนั้น ผู้เดินทางต้องใช้ความวิริยะอุตสาหะมาก มีความตั้งใจมั่นคงเพราะระยะทางไกล การคมนาคมไม่สะดวก  ต้องเดินทางด้วยเท้าเปล่า บุกป่าผ่าดงไปด้วยความลำบาก  สมัยก่อนการเดินทางไปนมัสการพระแทาานดงรังต้องเดินทางค้างแรมในระหว่างทางหลายคืน  ต้องใช้เกวียนบรรทุกสัมภาระเสบียงอาหารไปกินอยู่ระหว่างทาง   เล่ากันว่า ต้องเดินทางแรมคืนไปกลับประมาณ ๙ วัน ๑๐ คืน   คนที่ไม่มีความอุตสาหะจริงๆ จะไม่ได้ไป  และคนที่ไม่หนหนึ่งแล้วก็จะไม่ย่อท้อต่อความลำบากเลย  ยังบากบั่นไปอีกเป็นคร้ังที่สองที่สาม ด้วยความศรัทธากล้าหาญในการบุญกุศล  

     ที่ท่านเชื่อว่า  พระภิกษุสงฆ์ที่อุตสาหะเดินทางไปนมัสการพระแท่นดงรังถึง ๓ ครั้ง จะได้บรรลุกระแสธรรมชั้นโสดาปัตติมรรค หรือโสดาปัตติผลนั้น ก็มีเหตุผลน่าคิดอยู่  เพียงแต่เดินทางธุดงค์ไปนมัสการพระปฐมเจดีย์ในคืนเพ็ญหนเดียว   หลวงพ่อแช่มยังน้อมนำใจให้ปฎิญาณตนว่า จะถึงซื่งพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งจนตลอดชีวิตจนกว่าจะถึงพระนิพพาน   พระแท่นดงรังนั้นถือว่าเป็นพระแท่นไสยาสน์เสด็จดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพานซึ่งก็น้อมนำใจให้ผู้ที่ทอดทัศนาเกิดธรรมสังเวชอันสูงสุด  จนมองเห็นอรรถเห็นธรรม เปรียบดังสวะอันลอยเลื่อนไหลไปตามกระแสน้ำฉันน้ัน  

     การเดินทางไปนมัสการพระแท่นดงรัง มักไปกันในฤดูแล้งระหว่างเดือนสามกะเวลาให้ไปถึงพระแท่นก่อนวันเพ็ญเดือนสาม เทศกาลนมัสการพรแท่นเริ่มแต่วันเพ็ญเดือนสาม ถือกันว่าเป็นวันถวายพระเพลิงพระพุทธเจ้า 

     ปีน้ันพระภิกษุวัดพะเนียงแตก เดินทางธุดงค์ไปพระแท่นหลายองค์ด้วยกัน  เตรียมเครื่องอัฐบริขารพร้อม บาตรกลดขาดไม่ได้  ออกเดินทางเมื่อข้างขึ้นอ่อนๆ เดือนสาม ประมาณ ๙ ค่ำ จะได้อาศัยแสงเดือนในเวลากลางคืน ไม่มืดนักในเวลาพักแรม จากตำบลพะเนียงแตก ผ่านตำบลตาก้อง  ตำบลห้วยขวาง ลาดหญ้าไทร หนองปลาไหล รางพิกุล  ผ่านเมืองโบราณที่ท่าวแสนปมเคยตั้งบ้านเรือนอยู่สมัยหนึ่ง  เมื่อได้อยู่กับลูกสาวท้าวอู่ทอง 

     พักที่บ้านรางพิกุลคืนหนึ่ง  แล้วก็ต่อไปหนองโพธิ์ เข้าตำบลท่าผา   พักที่ลูกแก บ้านทวน ท่ามะกา  แล้วก็ถึงท่าเรือ   แล้วเข้าเขตพระแท่นดงรัง  การเดินทางธุดงค์ครั้งนี้ต้องพักระหว่างทางถึง ๓ คืน ๔ วัน  จึงถึงพระแท่นดงรัง ระหว่างทางได้ปักกลดใกล้บริเวณหมู่บ้าน ธรรมเนียมที่ถือกันเคร่งครัดในสมัยน้ันคือพระธุดงค์จะไม่ปักกลดบริเวณหมู่บ้านคน  ไม่ปักใต้ต้นไม้ใหญ่ หรือใกล้ศาลเจ้า  เพราะต้นไม้ใหญ่ใบหนา เช่นต้นกร่าง ไม่เป็นที่สงบ  ใบของมันถูกลมพัดกวัดไกวเสียงดังกร่างกราวอยู่ตลอดเวลา และเป็นที่อาศัยของสัตว์ต่างๆ เช่น ลิงค่าง ตุ๊กแก ตะกวด งูเหลือม และเหี้ย เป็นต้น  ไม่เหมาะแก่การบำเพ็ญสมณธรรม  ส่วนศาลเจ้านั้นชาวบ้านนับถือว่ามีเทวดาอาศัยอยู่ ย่อมไม่เป็นการสมควรแก่สมณเพศซึ่งเป็นอุดมเพศ  ทำเลนั้นต้องไม่ลุ่มต่ำเวลาฝนตกน้ำขัง ไม่ใกล้จอมปลวกหรือรังมดดำมดแดง  ไม่ทับทางเกวียนหรือทางเดินของคนที่สัญจรไปมา ไม่อยู่ตรงทางสามแยก  เมื่อเลือกชัยภูมิที่ปักกลดแล้วก็จะต้องอยู่ตรงน้ันตลอดคืนจะเคลื่อนย้ายไปไหนอีกไม่ได้เป็นอันขาดแม้จะมีฝนตก  ฟ้าร้อง มดจะกัด เสือช้างจะเข้ามาก็หนีไม่ได้เลย   การปลักกลดนั้นถ้ามีเพื่อนพระภิกษุร่วมทางไปด้วยก็มีข้อห้ามว่า มิให้ปักกลดชิดกันประมาณ ๒๐ วา  พอตะโกนเรียกกันได้ยินเพราะการปักกลดใกล้กันก็จะอดคุยกันไม่ได้ ทำให้มิได้บำเพ็ญสมณธรรม  

     อนึ่ง ระหว่างเดินทางก็ดี ปักกลดก็ดี ออกบิณฑบาตรก็ดี  ห้ามมิให้คิดเรื่องลามก ห้ามมิให้พูดคำลามก เห็นสตรีสาวสวยมาตักบาตร จะนึกกำหนัดในเชิงราคะก็ไม่ได้  ให้สะกดกลั้นห้ามใจตนด้วยอาณาปานสติภาวนา  กำหนดลมหายใจเข้าออก เห็นสัตว์เช่นลิงเสพสังวาสกัน ก็ให้ทำใจให้ปรกติอยู่ในสมาธิภาวนา ห้ามมิให้เพ่งมองด้วยความกำหนัดยินดี  เห็นต้นไม้ใหญ่ครึ้ม เห็นศาลเจ้าแห่งใด  ก็ให้แผ่เมตตาส่งกระแสจิตให้เทวดาแห่งนั้นๆ   จงอยู่เป็นสุข ห้ามมิให้นึกหรือกล่าวคำดูหมิ่นดูแคลน   เห็นสุนัขเห่าหรือควายไล่จะขวิด ก็ให้แผ่เมตตาด้วยพระคาถา   ห้ามมิให้ด่าว่าหรือโกรธเคือง  มิฉนั้นตกกลางคืนจะมีภัยมารบกวนถึงตัว เช่น เสือ  เดินวนเวียนมาใกล้กลด  หรืออาจทำอันตรายได้ ช้างก็อาจจะมาจับกลดกระชากเสีย แม้แต่มดก็จะเข้ามารบกวนจนไม่ได้หลับได้นอน  พระสงฆ์ฺที่เดินธุดงค์จะต้องเรียนรู้เรื่องเหล่านี้จากพระอาจารย์ และต้องถือปฎิบัติโดยเคร่งครัด  จะเผลอเรอมิได้เลยเป็นอันขาด  เพราะการเดินป่านั้นต้องระวังรักษาตัวเองตลอดเวลา  บางทีก็อาจเดินหลงทางวนเวียนอยู่ในป่า  หาทางออกไม่ได้ ต้องอดข้าวอดน้ำอยู่หลายวันด้วยถนนหนทางเครื่องหมายบอกสิ่งใดไม่มีเลย  พระภิกษุที่เดินธุดงค์บางองค์ก็ถูกควายไล่ขวิด  ถูกมดยกโขยงมากัด หรือเดินหลงทางอยู่ในป่ากันมามาก และพระธุดงค์
เหล่าน้ันก็ต้องสารภาพกับอาจารย์ว่าได้ล่วงละเมิดกฎที่ตั้งไว้  แต่พระสงฆ์ที่สำรวมกายวาจาใจอยู่เสมอ  บำเพ็ญเพียรภาวนาอยู่ทุกขณะนั้น  ปลอดภัยจากอันตรายทุกประการ   

     ตกกลางคืนต้องสวดมนต์ภาวนา  สรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ สวดบทพาหุง สวดบทพระอรหังแปดทิศ สวดบทกรณีเมตตสูตร  แผ่เมตตาแก่สรรพสัตว์ท้ังหลาย แล้วเจริญสมถภาวนา  กระทำสมาธิให้เกิด แล้วจึงจะหลับนอนได้  ต้องถือปฎิบัติเช่นนี้ทุกคืนเว้นไม่ได้   แถมท้ายด้วยบทอิมินา กรวดน้ำ  อุทิศส่วนบุญกุศลให้เทวดา ผีสาง บิดา มารดา ครูอาจารย์ ตลอดจนผู้กระทำทานให้ข้าวน้ำแก่ตนจนทั้วหน้า

     ก่อนจะถอนกลดออกเดินทางต่อไปน้ัน  ก็จะต้องเก็บกวาดให้เรียบร้อย  ไม่ทิ้งเศษอาหารไว้ให้สกปรก  ถือว่าสถานที่ตรงน้ัน ลูกพระตถาคตดได้มาอยู่อาศัยเป็นสุขชั่วคืนหนึ่งจะต้องไม่ทำบาปลามกไว้ให้รกแผ่นดินน้ัน  ข้อสำคัญคือกองไฟ  พระธุดงค์จะต้องไม่ก่อไฟผิงหรือหุงต้มสิ่งใด เพราะการก่อไฟจะทำให้สัตว์เล็กๆเช่น มด มอด หรือแมลงเม่าตาย  พระธุดงค์จะฉันแต่อาหารบิณฑบาตมาได้เท่านั้น  น้ำก็ดื่มแต่น้ำเย็นที่กรองแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องก่อกองไฟหุงต้มอะไร   หนาวก็ก่อไฟผิงไม่ได้  

     พระแท่นดงรังนี้ นับถือกันมาแต่โบราณกาลว่า  เป็นปูชนียสถานศักดิ์สิทธิ์ ใครมีกำลังบุญวาสนาแล้ว จะต้องพยายามไปนมัสการให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต  ถึงใครจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งสงสัยคลางแคลงใจอย่างไรก็ยังพยายามไปนมัสการ   เพื่อจะเกิดบุญกุศลขึ้น จึงมีผู้คนไปนมัสการพระแท่นดงรังกันท้ังพระภิกษุ สามเณร ผู้ดี เจ้านายผู้รู้ นักปราชญ์และผู้สูงศักดิ์ในแผ่นดิน  ก็ได้เสด็จดำเนินไปนมัสการดังเช่นพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จไปนมัสการเมื่อ พ.ศ.๒๔๐๒  พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จไปนมัสการเมื่อ พ.ศ.๒๔๐๘  พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินไปประทับแรมและสมโภชพระแท่นดงรังเมื่อวันที่ ๒๒ มกราคม พ.ศ.๒๔๒๑

     สุนทรภู่ก็ได้ไปนมัสการพระแท่นดงรัง ภายหลังจากนั้น ๙ ปีท่านบวชอยู่วัดเทพธิดา เดินทางไปนมัสการพระแท่นเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม พ.ศ.๒๓๘๘  พร้อมด้วยสามเณรกลั่น  หนูพัดและหนูตาบ 

     พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์เล่าเรื่องพระแท่นดงรังไว้ว่า 

     "วิหารที่พระแท่นตั้งอยู่นั้น  เป็นเขาเทือกเดียวกันกับเขาถวายพระเพลิงเชิงเขานั้น  ตกราบลงมาสูงกว่าพื้นดินข้างล่างหน่อยหนึ่ง มาถึงที่พระแท่นจึงเป็นเขาศิลากองยาวออกไป ที่ข้างล่างวิหารมีช่องศิลายาวประมาณ ๖ นิ้ว กว้าง ๔ นิ้ว หยั่งดูลึกสัก ๒ ศอก  ว่าเป็นที่บ้วนพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า ที่พระแท่นน้ันเป็นปลายของเทือกศิลาที่เขาน้ันยื่นออกมาก่อผนังทับ  คงเป็นศิลาเป็นแท่นสูงข้างหนึ่ง ต่ำข้างหนึ่ง  ข้างสูงนั้นวัดได้ศอกคืบ  ยังมีสูงขึ้นไปอีกเหมือนเป็นหมอน  กว้างสักคืบเศษ  สูงคืบหนึ่ง  ข้างล่างสูง ๑ต นิ้ว  ยาว ๑๑ ศอกคืบ  ข้างบนกว้าง ๔ ศอกเศษ  ข้างล่าง ๓ ศอกเศษ  เป็นพื้นขรุขระอยู่  แต่เจ้าของปิดทองคำปั้นเป็นบัวรองไว้  พี้นกลางพระแท่นนั้นจะเป็นอย่างไรไม่เห็น  ด้วยผ้าที่ห่มนั้นคลุมสูงขึ้นไปสักศอกหนึ่ง ทำเป็นคล้ายๆรูปคนนอนคลุมหัว  เมื่อ ๑๒ ปีมาแล้ว  เราตามเสด็จทูลกระหม่อมมายังเด็ก พอเยี่ยมเข้าไป เห็นที่คลุมผ้าตกใจ นึกว่าศพอะไรคลุมอยู่ในนั้น"

      "แต่ธรรมดาคนไทยๆเรา มักจะถือการที่ขลังศักดิ์สิทธิ์ต่างๆมากกว่าที่ถือพระพุทธคุณโดยแท้  ถ้าเห็นเจดีย์ฐานแห่งใดไม่ขลังศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ใคร่จะนับถือ ถ้าแห่งใดมีคำเล่าลือว่าขลัง ศักดิ์สิทธิ์ ก็มักจะศรัทธามาก  เหมือนพระแท่นดงรังทีมีเรื่องราววิเศษต่างๆ หลายอย่าง  เรื่องหนึ่งว่าแขกคนหนึ่งขึ้นมาเที่ยว ว่าพระแท่นสบายน่านอนเล่น น่าอยู่  โลหิตออกจากปากจากจมูกตาย เรื่องหนึ่งว่า พระโอษฐ์นั้นถ้าเป็นตาแดงหยอดตาหายอย่างหนึ่ง  อีกอย่างหนึ่งว่าน้ำมันตามตะเกียง ทาบาดแผลอันใดหายหมด อย่างหนึ่งว่าหินบดน้ันถ้าบดใบไม้โตๆไม่ว่าอะไรถ้ากินเข้าไปเป็นยาทั้งสิ้น  อย่างหนึ่งว่านับขั้นบันไดที่ขึ้นเขาถวายเพลิงเท่าใด อายุผู้นั้นจะยืนไปเท่าขั้นบันไดที่นับนั้น อีกอย่างหนึ่งว่าถ้าผู้ใดเดินไปหลังมณฑปนั้นหน่อยหนึ่ง จะพบเมืองลับแลกลับมาไม่ได้  และต้นไม้ในฤดูแล้งใบไม้ก็ร่วงเห็นว่าเป็นต้นไม้เศร้าโศก  หญ้าก็แห้งงอเพราะร้องไห้สงสารพระพุทธเจ้า คำเล่าลือตื่นเต้นกันดังนี้หลายอย่าง นักพรรณนาไม่ถ้วน"

     พระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ ๕ ยังได้กล่าวถึงเรื่องการไหว้พระแท่นดงรังไว้อย่างนักปราชญ์ว่า 
     "ผู้ที่รู้อยู่ทั่วถึงจะไหว้กราบในที่มีพระพุทธรุป สถูป หรือสิ่งอื่นๆซึ่งเป็นเจดีย์ฐานหรือจะไหว้กราบในที่แจ้ง ในชายคาที่ไม่มีเจดีย์ฐานก็ดี  ต้องส่งใจระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้าแล้วไหว้กราบทุกครั้ง  ทุกคราว และพระแท่นดงรังนี้เล่าก็เป็นเจดีย์ฐานอันหนึ่ง ซึ่งควรจะส่งใจระลึกถึงพระพุทธเจ้าที่เสด็จปรินิพพานในเมืองกุสินารายณ์  ที่ป่ารังของมัลลกษัตริยื ก็เหมือนหนึ่งไหว้นมัสการในที่นั้นเหมือนกัน"

     หลวงพ่อแช่มกับเพื่อนภิกษุได้อุตส่าห์เดินธุดงค์ไปนมัสการพระแท่นดงรังคร้ันนั้นประมาณ พ.ศ.๒๔๒๕  ได้ไหว้สถานที่เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานของพระพุทธองค์  สถานที่ถวายเพลิงพระบรมสาสรีรกายของพระบรมครูแล้ว  ก็เกิดความปิติอิ่มเอิบใจ ได้ปลงธรรมสังเวช เกิดความสลดใจในธรรม  ว่าคนเกิดมาในโลกนี้แล้ว  ไม่ว่าไพร่ ผู้ดี มั่งมีหคือเข็ญใจ เจ้าฟ้าพระมหากษัตริยืผู้มีศักดานุภาพ  เป็นเจ้าชีวิตของคนท้ังหลาย  ก็ล้วนแต่ต้องพ่ายแพ้แก่พระยามัจจุราช  พระยามัจจุราชย่อมติดตามไปทุกหนทุกแห่ง  ถึงจะหนีไปอยู่ในถ้า ดำน้ำ ดำดิน  ก็ล้วนแต่หนีความตายไปไม่พ้น   ในที่สุดก็ต้องทอดทิ้งร่างกายไว้นอนเย็นชืดแข็งทื่อ  ขึ้นอืด เน่าพอง  ผุเปื่อยเป็นดินเป็นน้ำไป  ชีวิตทุกชีวิตเป็นเช่นนี้  ไม่มีผู้ใดมีอำนาจครอบครองเป็นเจ้าของชีวิตและร่างกายของตนเอง  ชีวิตไม่เที่ยงแท้ถาวร  ไม่ใช่ตัวตนเราเขา ชีวิตเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา  ดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้ ย่อมมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย  หมุนเวียนไปเช่นนี้ หมายหมื่นหลายแสนหน  จนกว่าจะได้ตรัสรู้ธรรมอันวิเศษ   สำเร็จพระอรหัตต์ตัดกิเลส  ละโลกนี้เสียได้ จึงจะไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในโอฆสงสารนี้อีก   แต่ในระหว่างบำเพ็ญบารมียังไม่ถึงซึ่งพระอรหัตตผลนั้น ทุกคนไม่ควรยึดมั่น ถือมั่นในชีวิตในทรัพย์สิน ในอำนาจ ในยศศักดิ์ ไม่ควรแก่งแย่งแข่งดี  ไม่ควรริษยา อาฆาต  ไม่ควรโลภ โกรธ หลงอะไร เพราะเมื่อถึงที่สุดหมดลมหายใจนั้น  อย่าว่าแต่เนื้อที่เพียงยาววาหนาคืบคือโลงศพ  หรือเสื้อผ้าที่ห่อหุ้มซากศพเราเลย  แม้แต่ซากศพก็ไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่ในโลก  เราเกิดมานี้มีบุญน้อยไม่ทันได้พบพระพุทธองค์ แต่เราก็มีบุญอยู่บ้าง  ที่เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา มีสติปัญญาเข้าใจคำสั่งสอนของพระองค์  เราดีใจที่ได้บวชอยู่ในร่มเงาศาสนาของพระองค์  ถึงจะยังไม่ได้บรรลุธรรมอันวิเศษในชาตินี้ ก็ตั้งใจอธิษฐานว่าเกิดชาติหน้า ภพหน้า ขอพบพระศาสนา พระศรีอริยเมตไตรย ที่จะมาตรัสรู้ในอนาคต เพื่อจะได้ฟังคำสั่งสอนของพระองค์ได้บรรลุธรรมอันวิเศษ  


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

     
     

วันพฤหัสบดีที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2560

หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง (ตอน ไปสักการะประปธม)



ไปสักการะพระปธม

     หลวงพ่อแช่มบวชมาถึงห้าพรรษา จิตใจกำลังแก่กล้า อาจหาญในทางธรรม จึงปรารถนาจะเดินธุดงค์ไปนมัสการพระปฐมเจดีย์ตามประเพณี ท่านจึงได้เดินทางธุดงค์ไปนมัสการพระปฐมเจดีย์ในเดือนสิบสองปีนั้น
เดินทางไปตามแบบพระธุดงค์ หยุดพักระหว่างทางเสียคืนหนึ่ง ไปถึงก็ปักกลดอยู่ในป่าสวดมนต์ภาวนา บำเพ็ญสมณธรรมในคืนวันเพ็ญเดือนสิบสอง อากาศหนาวเย็น พระจันทร์ส่องแสงสุกสว่างบนท้องฟ้า สาดแสงส่องต้ององค์พระปฐมเจดีย์สูงเด่นอยู่ เบื่้องหน้าแว่วเสียงมหรสพดนตรีลอยลมมาแต่ไกล ทำให้จิตใจเคลิ้มคิดไปถึงคร้ังพทุธกาลเนิ่นนานมากว่า ๒๔๐๐ ปี พระพุทธองค์ไ้ดทรงสละราชสมบัติ สละพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ สละบุตรภรรยา ข้าแผ่นดิน ออกบวชโดยเด็ดเดี่่ยว ทรงทรมานรพะวรกายอยู่ถึง ๖ ปี จึงได้บรรลุพระอริยสัจธรรม ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ออกเผยแพร่พระธรรมวินัยอยู่อีกถึง ๔๕ ปี ก็ทรงพระดำเนินด้วยพระบาทเปล่า ทรงฉันท์ข้าวของชาวบ้าน ทรงฉันน้ำในบ่อสระห้วยหนองและลำธาร ทรงบรรทมบนพื้นดินพื้นทราย มีแต่หญ้าและใบไม้รองพระวรกาย พระตถาคตก็เหมือนเราเวลานี้่

เรากำลังเดินทางตามรอยบาทพระพุทธองค์ ก็โอรสเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ยังถือปฎิบัติได้จนตลอดพระชนม์ชีพ นับประสาอะไรกับเราลูกชาวนายากไร้ เคยนอนกลางดินกินกลางทรายมาแต่อ้อนแต่ออกจะทำไม่ได้ จะทนไม่ได้เล่า พระพุทธองค์เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว ๒๔๐๐ ปีเศษ เราก็เป็นเชื่อสาสยพระตถาคต นำมาประพฤติปฎิบัติบ้าง ชีวิตก็จะมีแต่ความสุข สงบ เยือกเย็ฯ ห่างไกลจากไฟโลภ ไฟโกรธ ไฟราคะ อันเร่าร้อนเผาไหม้ ไปไหนก้มีแต่คนกราบไหว้บูชา ถวายข้าวปลาอาหาร ลูกพระตถาคตไม่เคยอดอยาก มีแต่ลาภทานสักการะ พระมหาเจดีย์ที่บรรจุรพะบรมธาตุ คนท้ังหลายก็หลั่งไหลกันมาบูชาสักการะ เราคิดไปแล้วก็ปลาบปลื้มใจ ที่เกิดมาเป็นมุนุษย์ได้พบพระพุทธศาสนา เราจะอุทิศชีวิตอยู่ในพระพุทธศาสนาไปกว่าชีวิตจะหาไม

หลวงพ่อแช่ม คิดไปก็เกิดความปิติอิ่มเอิบใจ จึงได้ตั้งจิตอธิษฐษน ต่อหน้าพระปฐมเจดีย์ กล่าวเป็นคำปฎิญาณว่า

"พทธัง ชีวิตัง ยาวะนิพพานัง สระณัง คัจฉามิ
ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระพุทธเจ้า เป็นที่พึ่งไปจนตลอดชีวิต กว่าจะถึงซึ่งพระนิพพาน
ธัมมัง ชีวิตัง ยาวะนิพานัง สระณัง คัจฉามิ
ข้าพเจ้าขอถึงซึงพระธรรม เป็นทีพึ่งไปจนตลอดชีวิต กว่าจะถึงถึงพระนิพพาน
สังฆัง ชีวิตัง ยาวะนิพพานัง สระณัง คัจฉามิ
ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระสงฆ์ เป็นที่พึ่งไปจนตลอดชีวิต กว่าจะถึงซึ่งพระนิพพาน"

(โปรดติดตามตอนต่อไป) 

หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง (ตอน พรรษาห้ากำลังหาญ)





พรรษาห้ากำลังหาญ

     พระบรมครูท่านตรัสสอนไว้ว่า มารชีวิตของคนเรานี้มีอยู่ ๕ ชนิด คือ กิเลสมาร ความโลภ โกรธ หลง เกิดขึ้นในจิตใจเราเอง, ขันธมาร คือร่างกายไม่สมประกอบ พิกลพิการ ง่อยเปลี่ย หรือหูหนวก เป็นใบ้ อยู่ที่ร่างกายเราเป็นอุปสรรคขวากหนามชีวิตของเรา, อภิสังขารมาร คือสิ่งที่มีอำนาจเหนือสังขารได้แก่ โรคภัยไข้เจ็บ และความแก่ชรา อยู่ห่างไกลจากนักปราชญ์ เกิดมาไม่ได้พบพระพุทธศาสนา, มัจจุราช คือความตาย , เทวบตรมาร คือ เจ้านายผู้เป็นใหญ่
สำหรับคนไทยเรา มีมารอีกชนิดหนึ่ง คือ มารศรี ได้แก่มารที่มีศิริ รูปร่าง ผิวพรรณสวยงาม

     ชีวิตหลวงพ่อแช่ม ก็ใช่จะปลอดโปร่งจากมาร ต้องผจญกับมารมาเหมือนกัน ที่ต้ังใจเด็ดเดี่ยวว่า ชาตินี้จะขอบวชจนตลอดชีวิต ขอฝากกายไว้ในร่มกาผ้ากาสาวพัสตร์ แต่เมื่อคิดถึงโยมบิดามารดา ก็วุ่นวายใจอยู่ไม่น้อย เพราะท่านทั้งสองก็แก่เฒ่าลงทุกวัน ลำบากยากจน การบวชนี้เหมือนกับเป็นการตัดช่องน้อยเอาตัวรอดเพียงคนเดียว บุญกุศลที่จะเกิดมีนั้นก็ไม่สามารุถจะช่วยให้มารดาเป็นสุขได้ การบวชเป็นการทอดทิ้งผู้บังเกิดเกล้าหรือเปล่า เราควรจะบวชต่อไปหรือสึกออกไปมีบุตรภรรยา ช่วยเลี้ยงโยมเมื่อชรา อย่างไหนจะถูกต้องกว่ากัน
     หลวงพ่อแช่ม คิดไปคลางแคลงใจไป วุ่นวายใจอยู่ เห็นหน้าโยมมารดาแล้วก็สงสารเกิดความคิดจะสึกออกไปช่วยโยมมารดาอยู่หลายหน แต่ก็ยังลังเล อยู่คิดไม่ตก
     ลองสมมุติดูว่า ถ้าลาสึกไปช่วยโยมมารดา จะช่วยได้เพียงใด และโยมมารดาเป็นคนขยัน ชอบทำงานมาตลอดต้ังแต่สาวจนแก่ ถึงจะสึกไปช่วยทำนาอีกแรง โยมมารดาก็คงไม่ยอมหยุดทำงา
     ความคิดที่ว่าจะสึกออกไปช่วยทำมาหากิน ก็คิดตกว่า จะไม่ช่วยได้จริงจัง อีกอย่างหนึ่งเล่า ชีวิตคนเราก็ไม่เที่ยงแท้แน่นอน ลูกอาจตายก่อนแม่ หรือแม่อาจตายก่อนลูก ก็ไม่แน่นอน ความคิดที่จะสึกออกไปช่วยโยมทำนาก็เป็นอันยุติด้วยการปลงเช่นนี้
     ตอนนั้น หลวงพ่อแช่่มไม่รู้หรอกว่า ความคิดที่จะสึกนั้นเป็นมารมาผจญ คือกิเลสมาร แต่หลวงพ่อแช่่มก็ผ่านมารชนิดน้ันมาได้ ด้วยอาศัยปัญญาหยั่งรู้ถึงสถาพความเป็นจริงของโลก

     มารที่มาผจญอีกเรื่อง คือมารศรี สตรีเพศ ทำให้พระสงฆ์องค์เจ้าผ้าเหลืองร้อนเปลื้องจึวรออกไปว่ายน้ำอยู่ในห้วงมหรรณพ  หลวงพ่อแช่ม ก็ใช่ว่าจะปลอดภัยแม้จะรูปร่างหน้าตาขี้ริ้ว มีลูกชาวบ้านคนหนึ่งเป็นสาวอายุมากแล้ว ฐานะมั่งคั่งแต่ยังไม่มีคู่ชิดเชย หมั่นเข้าวัดเข้าวาหมั่นมาทำบุญทำทานฟังศึลฟังธรรมอยู่เสมอ  หมั่นไปหมั่นมาแวะเวียนมาหาหลวงพ่อแช่มอยู่เสมอมิได้ขาด ตอนนั้นหลวงพ่อแช่มยังเป็นพระหนุ่ม วัยเบญเพศ ก็คิดเล่นๆในใจว่าหญิงคนนี้มีใจปฎิพัทธ์เสน่หาด้วย เพราะสายตากิริยาท่าทีก็บอกชัด หลวงพ่อแช่มเผลอใจคิดไปว่า ถ้าเราสึกออกไปแต่งงานกับหญิงคนนี้คงมีความสุขพอสมควร  ช่างเอาอกเอาใจ  กิริยาวาจาก็อ่อนหวาน แต่หลวงพ่อก็เอาชนะกิเลสมารนี้มาได้  ด้วยสติยั้งคิดพิจารณาถอยหน้าถอยหลัง เอาธรรมะเข้าข่มใจ ทำให้จิตใจอาจหาญมั่นคงอยู่ในพระพุทธศาสนาต่อมา  
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
tag