วันอังคารที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2561

หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง (ตอน ทางรกวกขึ้นสวรรค์)

ทางรกวกขึ้นสวรรค์ 

      คำพังเพยโบราณกล่าวไว้ว่า 
     " ทางเตียนเวียนลงนรก ทางรกวกขึ้นสวรรค์"

     เมื่อคิดดูให้ดีจะเห็นได้ว่า ในโลกนี้ถ้าชีวิตของใครใฝ่แต่หาความสะดวกสบาย มัวหลงเพลิดเพลินอยู่ในทางสนุกสนาน ไม่หมั่นศึกษาหาความรู้ ไม่อุตสาหะพยายามประกอบการงาน เอาแต่กิน แต่เล่น แต่สนุก คบเพื่อนชั่ว กินเหล้า เล่นการพนัน ท่านว่าผู้นั้นกำลังเดินไปสู่อบาย  อบายกับสบายมันคู่กัน  ทางสบายย่อมทำให้เพลิดเพลินมัวเมา ลืมตัว ลืมคุณงามความดี ในที่สุดก็จะนำพาไปสู่อบาย  ไปสู่ที่ชั่วที่ต่ำ ยากจน ต่ำต้อย  ไร้เกียรติยศชื่อเสียง  นั้นแหละคือทางเตียนลงนรก 
     แต่คนที่อุสาหะพยายามหมั่นศึกษาเล่าเรียน  หมั่นประกอบการอาชีพด้วยความอุตสาหะบากบั่น ฟันฝ่าอุปสรรคในชีวิต ไม่ย่อท้อต่อความลำบาก ไม่เอาแต่กินนอน เที่ยว ผู้นั้นย่อมพาตัวขึ้นที่สูง  มีเงินทอง มีเกียรติยศชื่อเสียง เหมือนการเดินทางขึ้นภูเขาในที่สุดจะถึงยอดเขาได้ นี่คือ ทางรกวกขึ้นสวรรค์

     ชีวิตหลวงพ่อแช่ม เป็นชีวิตที่เห็นได้ชัดตามคำพังเพยนี้  ท่านเกิดเป็นลูกชาวนายากจน  ต้องนอนใต้ถุนเรือน หน้าคอกวัว  เป็นชีวิตที่อับเฉาอาภัพ จนต้องออกท่องเที่ยวขอทานเขาเลี้ยงชีพ แต่ด้วยความอุตสาหะบากบั่น จึงได้เก็บเงินทองไว้บวชตัวเองได้  เมื่อบวชแล้วก็มีความอุตสาหะบากบั่นเล่าเรียนวิชาที่ตนสนใจ  และเป็นประโยชน์แก่ตน ได้ออกธุดงค์ท่องเที่ยวไปถึงต่างถิ่นต่างแดน ยอมฝนทั่งเป็นเข็ม  ออกต่อนกในป่าเพื่อแลกกับการเรียนวิชาให้จงได่ มิได้คิดย่อท้อ จนได้เรียนวิชาสมใจจึงกลับมาอยู่บ้านเกิดเมืองนอน  บำเพ็ญกรณีกิจช่วยญาติโยมตามสติปัญญาและวิชาที่เรียนมา  จนกระทั่งมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วบ้านเมือง 
   ถูกแล้ว วิชาไสยศาสตร์น้ัน ท่านนักปราชญ์ท่านติเตียนว่าเป็นเดรัจฉานวิชา ไม่สามารถนำทางไปสู่มรรคผลนิพพานได้  แต่วิชาไสยศาสตร์ก็ไม่ใช่วิชาต่ำชั่วเหมือนสัตว์เดรัจฉานตามที่เข้าใจกัน  ในสมัยที่วิทยาศาสตร์ยังไม่เจริญมนุษย์จำเป็นต้องหาที่พึ่ง  ก็ได้วิชานี้เป็นที่พึ่ง  แม้พระพุทธเจ้าก็ทรงเชี่ยวชาญ  และทรงใช้วิชานี้ปราบพยศคนที่อวดเก่ง แตพระพุทธองค์ทรงใช้อำนาจทางจิต มิได้ใช้เครื่องรางของขลังแต่อย่างใด  แต่อาจารย์ทางไสยศาสตร์อำนาจจิตไม่สูงถึงขั้นฌานสมาบัติจึงต้องใช้เครื่องราง คาถาอาคมประกอบด้วย 
     ไสยศาสตร์ก็คือ จิตศาสตร์อย่างหนึ่งน้ันเอง  เช่นการรดน้ำมนต์ เพ่งกระแสจิต การอธิษฐานจิตด้วยอาศัยอำนาจคุณพระรัตนตรัย ตั้งจิตปรารถนาไปสู่ความสุขสวัสดิ์ ให้หายโรคหายไข้ สิ้นความเศร้าหมอง สิ้นเคราะห์สิ้นสิ้นโศก นับเป็นที่พึ่งทางใจอย่างหนึ่ง 
     ในสมัยพระพุทธองค์ เมืองไพศาลีมีโรคระบาด  ทางบ้านเมืองไม่สามารถช่วยได้  พระพุท่ธองค์ทรงโปรดให้สวดพระปริตต์ บันดาลให้ฝนตกชำระเมืองให้สะอาด ทำน้ำมนต์รักษาโรคภัยแก่ชาวเมือง โรคก็สงบราบคาบลงด้วยอำนาจพระพุทธมนต์ 
     ประวัติชีวิตของหลวงพ่อแช่ม  ที่สำคัญอีกประการคือการธุดงควัตร หลวงพ่อแช่มเป็นพระป่า  การธุดงค์น้้นคือการฝึกฝนอบรมตนในทางพระพุทธศาสนา เพื่อจะประหารกิเลสตัณหา การถือธุดงค์เป็นการปฎิบัติอันสำคัญอย่างยิ่ง  
     การถือธุดงค์มีองค์ ๑๓ เรียกว่า "ตทังควัตร"   แปลว่าการถือปฎิบัติ ๑๓ ประการคือ 
     ๑. ถือแต่ผ้าบังสกุลเป็นวัตร  ผ้าอื่นไม่ใช่นุ่งห่มอย่างหนึ่ง
     ๒. ถือแต่ผ้าไตรจีวรสามผืนเป็นวัตร ไม่ใช้ผ้าเกิน ๓ ผืนอย่างหนึ่ง
     ๓. ถือท่องเที่ยวบิณฑบาตรเป็นวัตร ไม่ขาดไม่เว้นการบิณฑบาตรอย่างหนึ่ง
     ๔. ถือการบิณฑบาตรบ้านเดียวแถวเดียวเป็นวัตร ไม่บิณฑบาตรบ้านอื่นแถวอื่นอย่างหนึ่ง
     ๕. ถือการบริโภคอาหารอาสน์เดียวเป็นวัตร  เมื่อลุกจากที่นั่งแล้ว ไม่บริโภคอีกอย่างหนึ่ง
     ๖.ถือการบริโภคอาหารแต่ในบาตรเดียวเป็นวัตร อาหารนอกบาตรที่มีผู้ถวายภายหลังไม่บริโภคอย่างหนึ่ง
     ๗.ถือการบริโภคอาหารที่ได้มาจากบิณฑบาตรเป็นวัตร ไม่บริโภคอาหารที่ได้มาอย่างอื่นเป็นวัตร
     ๘. ถือเอาการอยู่ป่าเป็นวัตร  ไม่อยู่ในวัด ในบ้าน ในเมืองอย่างหนึ่ง
     ๙.ถือเอาการอยู่โคนต้นไม้เป็นวัตร ไม่เข้าอยู่ในโรงเรียน กุฎิอย่างหนึ่ง
     ๑๐.ถือเอาการปักกลดอยู่กลางแจ้งเป็นวัตร ไม่อยู่โคนต้นไม้ อยู่ถ้ำ อยู่โรงเรียนอย่างหนึ่ง
     ๑๑.ถือเอาการอยู่ป่าช้าเป็นวัตร ไม่อยู่ที่อื่นอย่างหนึ่ง
     ๑๒. ถือเอาการอยู่ในเสนาสนะที่ท่านจัดไว้ให้อยู่อย่างไรก็อยู่อย่างน้ัน  ไม่ขยับขยายขวนขวายอยู่ในที่ดีกว่าอย่างหนึ่ง
     ๑๓. ถือเอาการนั่งเป็นวัตร ไม่นอนเลยอย่างหนึ่ง (คือจะหลับก็หลับโดยการนั่ง)  

     ผู้ที่ปรารถนาจะบวชเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพาน จึงจำเป็นต้องถือธุดงควัตรข้อใดข้อหนึ่งให้ได้เพื่อเป็นการปฎิบัติ ชำระกิเลสให้บริสุทธิ์ การถือธุดงควัตร จึงเป็นของที่ทำได้ยากมาก 
     บุคคลที่สามารถจะถือธุดงค์ได้ จะต้องประกอบด้วยคุณสมบัติ ๑๐ ประการ
     ๑. เป็นผู้มีความเชื่อมั่น
     ๒.เป็นผู้มีหิริ คือความละอายต่อบาป
     ๓. เป็นผู้มีปัญญา
     ๔. เป็นผู้ไม่มีจิตคดโกง
     ๕. เป็นผู้รู้จักคุณของธุดงค์
     ๖. เป็นผู้ไม่มีจิตโลเล
     ๗. เป็นผู้ใคร่ต่อการฝึกอบรมตน
     ๘. เป็นผู้ถือธุดงค์ได้มั่นคง
     ๙. เป็นผู้ไม่ชอบยกโทษตนเอง
    ๑๐. เป็นผู้มีจิตประกอบด้วยเมตตาพรหมวิหาร 
     ผู้ถือธุดงค์จะต้องมีคุณสมบัติ ๑๐ ประการนี้ จะขาดเสียอย่างหนึ่งอย่างใดมิได้ เมื่อถือธุดงค์แล้วจึงจะเป็นผู้กระทำให้แจ้งถึงมรรคผลนิพพานได้ 
     แม้ผู้ถือธุดงค์แล้วยังไม่สามารถกระทำให้แจ้งถึงมรรคผลนิพพานได้ เพราะบุญบารมีได้สั่งสมมาน้อย ก็ย่อมจะทำให้ได้คุณธรรม ๑๘ ประการคือ 
     ๑. เป็นผู้มีมารยาทบริสุทธิ์ดี
     ๒. เป็นผู้มีปฎิปทาอันสุจริต
     ๓. เป็นผู้รักษากาย วาจา ได้ดี
    ๔. เป็นผู้มีจิตผ่องใส
    ๕. เป็นผู้มีความขยัน 
    ๖. เป็นผู้ระงับได้ซื่งความกลัว
    ๗. เป็นผู้สละเสียได้ ซึ่งถ้อยคำอันเป็นทิฎฐิของตน
    ๘. เป็นผู้ระงับเสียซึ่งความอาฆาตจองเวร
    ๙ เป็นผู้มีจิตประกอบด้วยเมตตา
    ๑๐เป็นผู้รู้จักกำหนดในการบริโภคอาหาร
    ๑๑ เป็นผู้มีจิตหนักในสัตว์ทั้งปวง
    ๑๒.เป็นผู้ประมาณการบริโภค เครื่องนุ่งห่ม
    ๑๓. เป็นผู้มีความเพียรพยายาม อันเป็นลักษณะของผู้ตื่นอยู่เสมอ 
    ๑๔. เป็นผู้ไม่มีความอาลัย
    ๑๕.เป็นผู้อยู่ที่ไหนก็สงบที่นั่น
    ๑๖. เป็นผู้มีความละอายต่อบาป
    ๑๗.เป็นผู้ยินดีอยู่ในวิเวก 
    ๑๘.เป็นผู้ไม่ประมาท 

     ผู้ที่ถือธุดงค์ท่านกล่าวว่า ย่อมเป็นผู้เพียบพร้อมด้วยคุณธรรมอันประเสริฐ ๓๐ ประการคือ 
     ๑. เป็นผู้มีจิตเมตตา
     ๒. เป็นผู้กำจัดกิเลสเสียได้
     ๓. เป็นผู้กำจัดความถือตัวได้
     ๔. เป็นผู้มีความเชื่อมั่นคง
     ๕. เป็นผู้ได้รับความสุขอย่างประณีต
     ๖. เป็นผู้มีกลิ่นหอมด้วยศีล
     ๗. เป็นผู้มีมนุษย์และเทวดารักใคร่
     ๘. เป็นผู้สำเร็จมรรคผลเป็นพระอริยเจ้า
     ๙. เป็นผู้ที่เทวดาและมนุษย์กราบไหว้บูชา
     ๑๐. เป็นผู้ที่หมู่บัณฑิตสรรเสริญ
     ๑๑. เป็นผู้ไม่ติดข้องในโลก
     ๑๒. เป็นผู้พิจารณาเห็นภัยในโลก 
     ๑๓. เป็นผู้ทำประโยชน์ให้แก่มหาชน
     ๑๔. เป็นผู้ที่มหาชนบูชาด้วยลาภสักการะ
     ๑๕. เป็นผู้ไม่ติดที่
     ๑๖. เป็นผู้มีญาณเป็นวิหารธรรม
     ๑๗.เป็นผู้รื้อข่าย คือกิเลสที่ข้องอยู่
     ๑๘. เป็นผู้ตัดคติที่กีดกั้นได้เด็ดขาด
     ๑๙. เป็นผู้มีธรรมลามกไม่กำเริบ
     ๒๐ เป็นผู้ที่อยู่อันจัดไว้โดยเฉพาะ
     ๒๑. เป็นผู้บริโภคสิ่งที่หาโทษมิได้
     ๒๒. เป็นผู้พ้นแล้วจากคติ
     ๒๓. เป็นผู้ไม่มีความสงสัย 
     ๒๔. เป็นผู้ที่มีตนถึงแล้วซึ่งวิมุติ 
     ๒๕. เป็นผู้มีธรรมจักษุอันเห็นแล้ว
     ๒๖. เป็นผู้ไม่หวาดกลัวสิ่งใด
    ๒๗. เป็นผู้อนุสัยถอนขึ้นแล้ว
     ๒๙. เป็นผู้มีสมบัติคือความสุขอย่างสุขุม เป็นวิหารธรรม 
     ๓๐. เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยสมณคุณ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา  

     ชีวประวัติของหลวงพ่อแช่ม จะเห็นได้ว่า ท่านได้ถือธุดงค์โดยเคร่งครัด เช่นการห่มสบงจีวร ๓ ผืนเท่านั้น การไม่อาบน้ำเลย ท่านเป็นพระภิกษุที่มีคนเคารพกราบไหว้ อุดมด้วยลาภสักการะจนตลอดชีวิต  จึงควรที่พุทธศาสนิกชนจะได้สนใจศึกษา ปฎิปทาของท่าน ที่ข้าพเจ้าเพียรเขียนขึ้นหวังจะเป็นเครื่องเตือนใจและเพิ่มพูนความรู้ความคิดให้กว้างขวางออกไปกว่าเรื่องราวที่ได้ยินได้ฟังกันมา  

     
     

หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง (ตอน พินัยกรรมมรดก)

พินัยกรรมมรดก 

     เมื่อโตเป็นหนุ่ม ข้าพเจ้าชอบไปคุยกับหลวงพ่อแช่ม  ไปอย่างเด็กวัดทั่วไปที่สนิทสนมกับพระ  เพราะรู้สึกสนใจแบบวิธีการบำเพ็ญประโยชน์ของท่าน หลวงพ่อแช่มคุยอะไรต่ออะไรให้ฟังมาก บางทีก็พูดถึงคาถาอาคมให้ฟัง ท่านว่าคาถาทุกบทจะสำเร็จได้ด้วยธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ  ที่เป็นปัจจัยให้เกิดชีวิตและสรรพสิ่งในโลก  เมื่อว่าคาถาแล้วจึงต้องประกอบด้วยดิน น้ำ ลม ไฟ, ดิน น้ำ ลม ไฟ นี้ท่านใช้คำว่าเป็นตัวคาถาแทนชื่อว่า  "นะ มะ พะ ทะ " จึงจะประสิทธิเม  
     ท่านว่าเคยมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แล้ว ๕ พระองค์  จะมาตรัสรู้ภายหน้าในอนาคตอีกแสนไกลอีกองค์หนึ่ง  คือ  พระศรีอารย์   ตัวคาถาใช้แทนพระนามพระพระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์นี้ว่า "นะโมพุทธายะ"   เรียกว่า คาถาพระเจ้า ๕ พระองค์  โลกนี้ไม่มีใครสูงสุดประเสริฐสุดยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าอีกแล้ว   คาถาที่ศักดิ์สิทธิ์จึงไม่พ้น  คาถาพระเจ้า ๕ พระองค์ คือ "นะโมพุทธายะ"  แต่ต้องมีคาถาอื่นประกอบ  
     คาถาเมตตามหานิยม ใช้คาถาว่า  "นะ ชา ลี ติ"  เป็นคาถาทางเมตตามหานิยม มหาโชค มหาลาภ 
     คาถา "มะ อะ อุ"  นี้แทนนามพระพรหม พระอิศวร พระนารายณ์ 
     คาถา "พุท ธะ สัง มิ"  เป็นหัวใจพระรัตนตรัย พุทธ คือ พระพุทธเจ้า ธะ คือ พระธรรมเจ้า สัง คือ พระสังฆเจ้า  มีคือ ตัวโลก คาถานี้เป็นยอดศีล ยอดทาน  ยอดบุญกุศลทุกประการ 
      คาถา ""อะ สัง วิ สุ โล ปุ สะ พุ ภะ"  เป็นคาถายอดหัวใจพระพุทธคุณ เรียกว่า"นวหรคุณ"   ใช้ภาวนาป้องกันสรรพภัยอันตรายทุกสิ่งทุกประการ 
     พระคาถาอิติปิโสถอยหลัง  " ติ วา คะ ภะ โธ พุท นัง สา นุส มะ วะ เท ถา สัต ถิ ระ สา มะ ทัม สะ ริ ปุ โร ตะ นุต อะ ทู วิ กะ โต คะ สุ โน ปัน สัม ณะ ระ จะ ชา วิ โธ พุท สัม มา สัมหัง ระ อะ ว่า คะ ภะ โน ปิ ติ อิ"   เป็นคาถาชนะหมู่มาร สรรพทุกข์สรรพโศก โรคภัยต่างๆ  

      ข้าพเจ้าถือว่า คาถาคือมรดก  วัฒนธรรมทางจิตใจของชาติไทยอย่างหนึ่ง ที่ควรรักษาไว้  เพราะเป็นของมีคุณค่า  ถ้ารู้จักนำของดีของคนโบราณมาใช้  

     หลวงพ่อแช่ม บวชมาต้ังแต่อายุ ๒๐ ปีจนอายุ ๙๘ ปีเศษ เป็นเวลานานถึง ๗๘ ปีเศษ ที่่ใช้ชีวิตอยู่ในร่มกาสาวพัสตร์  นอกจากบวชตลอดชีวิตแล้ว หลวงพ่อแช่มยังได้บวชผู้อื่น อันเป็นการสืบต่ออายุพระพุทธศาสนาอีกด้วย 

     คราวหนึ่งท่านเดินทางไปตลาดเมืองนครปฐม ไปถูกหมากัด จนเท้าบวมเดินไม่ได้อยู่หลายวัน แต่ท่านก็ไม่ได้เป็นอะไร 
     ในที่สุดท่านล้มป่วย เป็นการป่วยคร้ังแรกและคร้ังเดียวในชีวิต  นอนป่วยอยู่หลายวัน  ในที่สุดท่านก็ถึงแก่มรณภาพ ณ กุฎิศาลาดินมุงจากของท่านน้ันเอง 

     วันถึงแก่มรณภาพ ข้าพเจ้าได้ไปที่กุฎิท่าน มีลูกศิษย์ ลูกหลานและญาติโยมไม่เกิน ๑๐ คน  
     ข้าพเจ้ายังจำภาพได้ติดตาจนถึงทุกวันนี้  เป็นเรื่องประหลาดในความรู้สึกของข้าพเจ้า  คืองัวของหลวงพ่อแช่มมีอาการหงอยเหงาเศร้าโศก เหมือนมันมีปัญญารู้ว่าหลวงพ่อแช่ม ร่มโพธิ์ร่มไทรของมันสิ้นบุญแล้ว  บางตัวมันร้องไห้มีน้ำตาไหลเป็นทาง  ทุกวันพระเวลาประมาณ ๖.๓๐ น. มันจะออกจากคอกไปเป็นฝูงเพื่อหาหญ้ากิน แต่วันนี้มันยืนนิ่ง  เงียบเหงาทุกตัวไม่เคลื่อนไหวกันเลย 
   

วันเสาร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2561

หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง (ต้องอธิกรณ์)

ต้องอธิกรณ์

     เป็นธรรมดาโลก ใครก็หนีไม่พ้นธรรมดาโลก มีลาภ มียศ มีสุขสรรเสริญ มีเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์  หลวงพ่อแช่มก็หนีกฎธรรมดานี้ไม่พ้น  คนนับถือท่านมาก็จริงแต่มักจะเป็นคนที่มาจากต่างเมือง  แต่มีอีกพวกที่ตั้งข้อรังเกียจ เพ่งโทษจับผิดท่านอยู่ นินทาว่าร้ายว่าท่านเป็นพระพิเรนทร์ ไม่สวดมนต์ทำวัตรเช้าเย็น  ไม่ลงฟังสวดพระปาฎิโมกข์ในวันพระ ไม่บิณฑบาตรโปรดสัตว์ ไม่ปฎิบัติภารกิจสงฆ์ ไม่อยู่ในปกครองของเจ้าอาวาส 

     เพราะคนพวกหนึ่ง มองเห็นว่าหลวงพ่อแช่มทำอะไรแผลงๆ  อวดฤทธิ์อวดเดช เขาจึงคอยเพ่งโทษคอยจับผิด  คอยนินทาว่าร้ายท่านอยู่เสมอ จนในที่สุดก็มีหนังสือร้องเรียนกล่าวโทษหลวงพ่อแช่มไปถึงเจ้าคณะจังหวัด  คำฟ้องร้องน้ันทราบว่ามีข้อกล่าวหาฉกรรจ์อยู่หลายข้อ  พอจะสรุปประเด็นได้ดังนี้

     ๑. ไม่ยอมอยู่ในปกครองของเจ้าอาวาส
     ๒.ไม่บอกเล่าให้ทราบว่าจะไปไหน ไปทำอะไรที่ไหน
     ๓. หายไปจากวัดหลายๆวันเสมอ ไม่ทราบว่าไปทำอะไรที่ไหน
     ๔. ไม่ปฎิบัติกิจของสงฆ์ เช่นไม่สวดมนต์ทำวัตรเช้าเย็น พร้อมกับ       ภิกษุสงฆ์อื่นในวัด
     ๕. ไม่ลงฟังพระสวดปาฎิโมกข์ในวันพระ
     ๖. ไม่ออกบิณฑบาตรโปรดสัตว์ ตามธรรมเนียมของภิกษุ
     ๗. หุงข้าวกินเอง ตั้งครัวทำครัวเหมือนชาวบ้าน 
     ๘. รดน้ำมนต์ ให้หวย ทำเสน่ห์ เป็นหมอรักษาไข้ให้ชาวบ้าน 
     ๙. อวดอิทธิฤทธิ์ปาฎิหารย์ต่างๆ 

     คร้ันแล้วเจ้าคณะจังหวัด พร้อมด้วยคณะผู้ติดตามมีเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล ก็เดินทางมาสอบสวนหลวงพ่อแช่มถึงวัดตาก้อง  เจ้าคณะจังหวัดปรึกษากันว่าควรจะไปที่กุฎิของหลวงพ่อแช่ม เพราะจะได้ดูสถานที่อยู่ของท่านประกอบการพิจารณาด้วย  เมื่อไปถึงก็พบหลวงพ่อแช่มนุ่งสบงผืนเดียว นั่งขัดสมาธิคอยอยู่ที่พื้นกระดานแผ่นใหญ่ ปูอยู่กับพื้นดิน มีไม้ขอนรองวาง ไม่มีตั่ง ไม่มีเก้าอี้ ไม่มีม้านั่งไม่มีหมอนอิง แม้กระทั่งเสื่อก็ไม่มีปูรอง  เจ้าคณะตำบลที่ไปด้วยต้องบอกให้ท่านไปครองจีวรเสียให้เรียบร้อย แล้วชี้แจงให้รู้จักว่า นั่นเจ้าคณะจังหวัด ให้มานมัสการกราบไหว้ท่าน เพราะท่านเป็นเจ้าคณะใหญ่ผู้ปกครองสงฆ์ชั้นสูง  หลวงพ่อแช่มก็ยังเฉยอยู่ บอกแก่เจ้าคณะตำบลว่าผมไม่ใช่พระใช่เจ้าอะไรแล้ว  เป็นจำเลยให้เขาฟ้องร้อง อยากให้สอบสวนกัน ดีร้ายจะได้ถอดสบงสึกง่ายๆ ไม่ต้องครองจีวรให้เสียเวลา เจ้าคณะจังหวัดต้องปลอบชี้แจงอยู่นานว่าไม่ใช่จำเลย ไม่ใช่นักโทษอะไร  เพียงแต่ถูกอธิกรณ์ข้อกล่าวหา จะสอบสวนกันไปก่อน ถ้าผิดจึงจะลงโทษ เจ้าคณะจังหวัดบอกว่า นี่แน่ะท่านแช่ม ถ้าท่านเป็นพระถือศีลบริสุทธฺ์อยู่ก็ให้ท่านไปห่มจีวรให้เรียบร้อยก่อน หลวงพ่อแช่มจึงลุกขึ้นคว้าจีวรมาห่ม 

     เมื่อท่านเจ้าคณะจังหวัดกวาดสายตามองดูรอบๆ เห็นสภาพที่อยู่อาศัยอันเรียกว่ากุฎิของหลวงพ่อแช่ม อันเป็นศาลาโรงดิน มุงจาก ปราศจากฝากั้นทั้งสี่ด้าน ไม่มีพื้นกระดานปูนอกจากกระดานปูนอนอยู่บนพื้นดินเพียงรองนอนสำหรับตัวท่านเอง  ดูเหมือนเจ้าคณะจังหวัดจะเปลี่ยนใจและเปลี่ยนท่าทีไปมาก  หลังจากนั่งนิ่งอยู่นาน ก็เริ่มพูดกับหลวงพ่อแช่มว่า  "ที่มาวันนี้ไม่ได้ตั้งใจจะมาสอบสวนอะไร ไม่คิดว่าหลวงพ่อแช่มจะทำผิดวินัยอะไร  แต่อยากจะมาดูให้รู้กับหูกับตาว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เพราะมีคำร้องกล่าวโทษไปหลายข้อ"  แล้วท่านก็ล้วงย่ามเอาคำฟ้องร้องมาอ่านให้ฟัง แล้วเริ่มถามเป็นข้อๆ 

   ข้อที่๑ ที่ว่าไม่อยู่ในปกครองของเจ้าอาวาส จะมีข้อแก้ว่าอย่างไร

   หลวงพ่อแช๋ม ตอบว่า ผมก็อยู่ในเขตวัดตาก้อง  เจ้าอาวาสก็อยู่ในกุฎิของท่าน ผมก็อยู่ในกุฎิของผม  ไม่เคยพบหน้ากัน เจ้าอาวาสไม่เคยมาว่ากล่าวตักเตือนสั่งสอนอะไรผม ผมก็ไม่เคยฝ่าฝืนข้อห้ามใดๆเลย  แล้วจะว่าผมไม่อยู่ในปกครองได้อย่างไร  ธรรมดาพ่อแม่ปกครองลูก ก็ต้องดูแลว่ากล่าวตักเตือน สั่งสอน ห้ามปราม นี่ผมไม่เคยทำอะไรฝ่าฝืนเลย ท่านไม่มาปกครองผมเองต่างหาก

   ข้อที่ ๒ ไม่บอกกล่าวให้ทราบว่าจะไปไหน ไปทำอะไร ข้อนี้จะแก้ว่าอย่างไร

   หลวงพ่อแช่ม  ตอบว่า เมื่อสมภารไม่มาปกครองผม ปล่อยผมตามใจ ผมก็ปกครองตัวผมเอง จะไปไหนก็ไปเอง กลับเอง  ทำอะไรก็ทำเอง ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการของวัด ข้อนี้ผมจักผิดธรรมวินัยของสงฆ์ได้อย่างไร

   ข้อที่ ๓ หายไปจากวัดเสมอ คร้ังละหลายๆวัน  ไม่ทราบว่าจะไปทำอะไรทำผิดทำชั่วทำเสื่อมเสียแก่คณะสงฆ์อย่างไร ข้อนี้จะแก้ตัวอย่างไร

   หลวงพ่อแช่ม ตอบว่า ผมออกจากวัดไปเสมอจริง ไปครั้งละหลายๆวันจริง  ก็ไปทำกิจส่วนตัวที่ชาวบ้านเขานิมนต์ เป็นกิจส่วนตัว ไม่ได้ทำผิด ทำชั่ว ทำความเสื่อมเสียอะไร  ถ้าหากไปทำผิดทำชั่ว คงจะมีคนจับได้  คงจะถูกฟ้องร้อง  ถูกเจ้าหน้าที่จับเข้าคุกตะรางไปแล้ว  แต่นี่ไม่มีใครพบว่าทำผิดทำชั่วที่ไหนเลย  อย่างนี้จะผิดธรรมวินัยได้อย่างไร 

   ข้อที่ ๔ ไม่ปฎิบัติกิจของสงฆ์ เช่น ไม่สวดมนต์ทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น

    หลวงพ่อแช่ม ตอบว่า ผมก็ทำของผมองค์เดียว เพราะผมอยู่องค์เดียว  ผมเป็นพระป่า เคยออกธุดงค์เดินป่า ก็ทำวัตรสวดมนต์องค์เดียวมาตลอด พระอรหันต์ท่านไปอยู่ป่า อยู่ถ้ำ ท่านก็สวดมนต์ภาวนาองค์เดียว การสวดมนต์องค์เดียวผิดศีลวินัยข้อไหน

    ข้อที่ ๕ ไม่ลงโบสถ์ฟังพระสวดพระปาฎิโมกข์ในวันพระ  ข้อนี้จะแก้ตัวว่าอย่างไร

   หลวงพ่อแช่ม ตอบว่า วันพระผมก็สวดพระปาฎิโมกข์เอง สวดเอง ฟังเอง เหมือนพระสงฆ์อื่นๆ ที่ท่านให้ลงโบสถ์ฟังพระสวดพระปาฎิโมกข์นั้น  สำหรับพระที่สวดพระปาฎิโมกข์เองไมได้ จะได้ฟังเอาบุญ ก็ผมสวดเองได้  จะต้องไปฟังใครสวดอีกเล่า  พระอื่นๆ ที่สวดพระปาฎิโมกข์ไม่ได้นั่นแหละจะสู้ผมไม่ได้  ถ้าจะมาวา่พระปาฎิโมกข์แข่งกัน   ผมสวดพระปาฎิโมกข์จบแล้วก็นั่งเจริญสมาธิภาวนา อบรมจิตของตนเป็นการบำเพ็ญภาวนา ดีเสียกว่านั่งฟังครูอาจารย์สั่งสอนอบรมเมื่อสวดพระปาฎิโมกข์จบ คนเราถ้าได้สงบจิตเตือนใจตนได้แล้ว ใครเล่าจะวิเศษไปกว่าตนของตนเตือนตน

    ข้อที่ ๖ ที่ว่าไม่ออกบิณฑบาตรโปรดสัตว์ตามธรรมเนียมของสงฆ์จะว่าอย่างไร 

   หลวงพ่อแช่มตอบว่า  ที่ท่านให้ออกบิณฑบาตรโปรดสัตว์นั้น ก็เพื่อให้ได้อาหารมาเลี้ยงชีพอย่างหนึ่ง กับเพื่อออกไปเตือนอุบาสกอุบาสิกาให้ทำบุญทำทาน  เมื่อผมไม่ต้องไปบิณฑบาตก็มีอาหารเลี้ยงชีพ ผมนั่งอยู่ที่กุฎิก็มีอุบาสกอุบาสิกานำอาหารมาถวาย  ผมทำให้คนท้ังหลายบริจาคทานได้อยู่แล้ว  ถ้าผมออกบิณฑบาตรกลับเป็นโทษ เพราะคนเขาจะทำบุญกับผมเสียมาก พระภิกษุรูปอื่นจะขาดลาภไปเสีย 

     ข้อที่๗ รดน้ำมนต์ ให้หวย ทำเสน่ห์ เป็นหมอรักษาไข้ จริงหรือไม่

     หลวงพ่อแช่มตอบว่า  รดน้ำมนต์ ผมรดจริง เพื่อสงเคราะห์คนที่เขามีทุกข์ พระอาจารย์ทั้งหลายก็รดกันอยู่ทั่วไป  จะผิดศีลวินัยข้อไหน อุปัชฌาชย์อาจารย์ก็ไม่เคยบอกว่ารดน้ำมนต์ผิดวินัย  หลวงพ่อของผมก็รดน้ำมนต์ให้ใครๆ อยู่เรื่อยๆ

      เรื่องให้หวย หลวงพ่อแช่มตอบว่า หวยก็ให้ เมื่อมีคนถาม ก็บอกให้เขาไปเล่นกัน รัฐบาลท่านอนุญาตให้เล่นหวยกันได้ 

     "เห็นตัวเลขจริงหรือ" เจ้าคณะถาม 
     หลวงพ่อแช่มตอบว่า การเข้าสมาธิภาวนา จิตเป็นหนึ่งเหมือนน้ำใส ไม่มีตะกอน ไม่มีละลอกคลื่นก็มองเห็นเงาในน้ำได้ 
     "้เขาเอาไปเล่นกันถูกไหม"
      หลวงพ่อแช่มตอบว่า "ถูกบ้าง ผิดบ้าง แล้วแต่โชคลาภของคนแทง เพราะเราไม่ได้บอกตรงๆ เราใบ้หวยให้เท่านั้น"

     "เรื่องทำเสน่ห์ จะว่าอย่างไร"
     หลวงพ่อแช่มตอบว่า  "ไม่เคยทำเสน่ห์ มีแต่คนมาขอเสน่ห์ ก็ให้สีผึ้้งไปสีปาก ซึ่งเสกด้วยคาถาเมตตาาจิต ทำด้วยเมตตาจิต ถ้าใช้ด้วยเมตตาจิต ก็เกิดเมตตาจิต มีเสน่ห์ได้"

     "เป็นหมอรักษาไข้ จริงหรือเปล่า"
     หลวงพ่อแช่มตอบว่า  ผมไม่เคยเป็นหมอรักษาไข้ใคร นอกจากมีคนป่วย ญาติมาถามอาการดู เห็นว่าพอรักษาได้ ก็ให้ไปหาซื้อยามาแล้วผมก็เอาลงหม้อ เสกให้ไปต้มกิน" 

    "แล้วของดีที่แจกไป เช่น ตะกรุด ผ้ายันต์ จะกันมีดพร้าอาวุธได้จริงหรือ"
     หลวงพ่อแช่ม ตอบว่า ถ้าเขามีศรัทธาเชื่อมั่น  และใช้เป็นก็ป้องงกันศัตราวุธได้จริง" 

     ครั้นแล้วเจ้าคณะจังหวัด ก็บอกว่าการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว เป็นอันว่า "คุณไม่มีความผิดอะไร" 
     เจ้าคณะจังหวัด ถามหลวงพ่อแช่มว่าคุณว่ามีดี มีดีอย่างไร

     หลวงพ่อแช่มก็ว่า อิติปิโสแปดจบให้ฟัง  แล้วก็ว่าอิติปิโสถอยหลังให้ฟัง  
    การสอบสวนของเจ้าคณะจังหวัดครั้งนั้น กลับเป็นผลดีแก่หลวงพ่อแช่มทำให้มีชื่อเสียงดังยิ่งขึ้น พระภิกษุสงฆ์บางองค์ก็ว่าพระอย่างหลวงพ่อแช่มถึงจะมีสักร้อยองค์ก็ไม่ทำให้ศาสนาเศร้าหมอง  ดีกว่สมภารเจ้าวัดบางองค์ที่ดีแต่เรี่ยไรเงินเสียอีก 

(โปรดติดตามตอนต่อไป) 
      

วันอังคารที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง (ตอน พระโพธิสัตว์เมืองหงษา)


พระโพธิสัตว์เมืองหงษา

       ภิกษุที่จะออกป่าเดินธุดงค์ได้ ต้องตัดขาดจากอารมณ์โลภ โกรธ หลง ทรัพย์สมบัติติดตัวไปไม่ได้  เห็นสตรีสาวสวยจะนึกกำหนัดยินดีไม่ได้  ถ้าหากมีศีลบริสุทธิ จิตวุสุทธิ และกรรมบริสุทธิ์ทั้ง ๓ ประการ มีจิตศรัทธาเลื่อมใสมั่นคงในคุณพระรัตนตรัย  เชื่อมั่นในครูอาจารย์ เชื่อมั่นในบุญกุศลของตนเองแล้ว  ก็จะปลอดภัยด้วยประการทั้งปวง 
     พระภิกษุที่ออกธุดงค์เดินป่านั้น ต้องปลงใจให้ตกยอมสละหมดทุกอย่าง  ความสุขสบาย ลาภยศ สรรเสริญท้ังหลาย แม้ชีวิตร่างกายก็ยอมอุทิศถวายพระศาสดาได้เพื่อประพฤติพรหมจรรย์ เมื่อปลงใจได้เช่นนี้ การเจริญสมถธรรมจิตใจก็จะมีพละกำลังกล้า จะศึกษาอะไรก็สำเร็จสมปรารถนา  การทำเครื่องรางของขลังเสกน้ำมนต์ก็จะเกิดความศักดิ์สิทธ์ 

     หลวงพ่อแช่ม มีความใฝ่ฝันทางนี้ จึงสมัครใจออกธุดงค์แต่เพียงลำพังองค์เดียว ด้วยอุปนิสัยชอบท่องเที่ยว ดั้นด้นข้ามทุ่งข้ามท่า ข้ามป่าข้ามเขาไปทางเมืองกาญจนบุรี  จนล่วงเข้าเขตป่าใหญ่ ค่ำไหนนนอนนั่น ชมนกชมไม้ เอาไพรเป็นเพื่อน  เอาแสงเดือนต่างไต้ ใช้ชีวิตวิเวกในป่ากว้าง  ได้รับความสงบสุขไปตามประสาคนไม่มีห่วงทางโลก  มีชีวิตประดุจดังนกขมิ้นเหลือง ค่ำไหนนอนนั่น ฟังเสียงเสือเสียงช้างร้องในป่า วิเวกวังเวงใจ แต่ก็หาทำอันตรายอันใดไม่ คิดปลงเสียว่า เขาก็ชีวิต เราก็ชีวิต ต่างคนต่างเกิดมาในโลกนี้เพื่อจะมีชีวิตอยู่ต่อไปจนสิ้นลมปราณ  แม้นว่าชาติก่อนเราเกิดเป็นคู่ล้างผลาญกัน คู่เวรคู่กรรมกัน ชาตินี้เราก็คงถูกเสือกัดช้างแทง ถ้าชาติก่อนไม่ได้เป็นคู่เวรคู่กรรมกัน ขอให้ต่างคนต่างไป อย่ามีภัยอันตรายต่อกัน ขอให้สัตว์ทั้งหลายที่เกิดมาร่วมโลกร่วมแผ่นดินนี้ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกัน จงรักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด เมื่อได้ตั้งสัตยาษิฐานแผ่เมตตาเช่นนี้แล้ว เสือช้างก็มิได้มากล้ำกรายเลย  จนภายหลังเมื่อหลวงพ่อแช่มกลับมาอยู่วัดตาก้อง ก็คิดถึงสัตว์ป่าพวกนี้ เลยเอาหมูป่า หมีมาเลี้ยงไว้ที่วัด หลวงพ่อแช่มเป็นพระมีเมตตาสูง แม้สัตว์ป่าเปรียวๆดุๆ ก็เลี้ยงเชื่องได้ 

    หลวงพ่อแช่มได้ธุดงค์บุกป่าดงไปจนพ้นเขตแดนไทยเข้าไปในประเทศพม่า  ในระหว่างธุดงค์ในเขตพม่าน้ันได้พบชาวพม่าคนหนึ่ง จะว่าเป็นพระก็ไม่ใช่ จะว่าเป็นฤาษีก็ไม่เชิง คือไม่นุ่งผ้าคากรอง สวมชฎาตามแบบฤาษีทีเคยฟังเขาเล่ากันมาแต่โบราณ  แต่นุ่งผ้าย้อมฝาดสีหม่นๆเหมือนสีย้อมกรัก นุ่งผืนห่มผืน ปลูกกระท่อมอยู่ในป่าเชิงเขา  มีภรรยาและมีบุตรหญิงด้วย แต่ไว้มวย นุ่งชฎาหาได้โกนหัว โกนหนวดเคราไม่  มีผู้นิยมนับถือว่าเป็นผู้วิเศษ สำเร็จธรรมชั้นสูง

     หลวงพ่อแช่มกำลังใฝ่ฝันที่จะศึกษาเล่าเรียนวิชาทางนี้จึงได้สมัครเข้าศึกษาวิชากับเซียนพม่านี้  ในเมืองพม่าไม่มีวัดวาอารามเหมือนของไทยเรา ใครปลูกตึก ปลูกกระท่อม ทำเป็นที่อยู่อาศัยปฎิบัติธรรมของตนเองก็เรียกว่าวัดเหมือนกัน  แต่เป็นวัดส่วนตัว ผู้ปลูกสร้างวัดนั้นก็เป็นเจ้าของเป็นสมภาพเจ้าวัดเอง  เป็นอุปัชฌาชย์บวชคนได้ ปฎิบัติธรรมตามลัทธิความเชื่อถือของตน  แต่เซียนพม่าคนน้ันท่านก็ว่าท่านเป็นพระสงฆ์เหมือนกัน  แต่ไม่บิณฑบาตร ทำไร่ ทำนา เลี้ยงวัวเอง  ซ้ำมีภรรยาและบุตรสาวด้วย แต่ท่านบอกว่าท่านประพฤติพรหมจรรย์ทั้ง ๓ คน  ไม่เกี่ยวข้องในทางเพศ อยู่ร่วมกันแบบพระเวสสันดรกับนางมัทรี และกัณหาชาลีในมหาเวสสันดรชาดก 

     หลวงพ่อแช่ม รู้สึกพอใจมาก ที่ได้พบการดำเนินชีวิตแบบพระเวสสันดร พระนักบวชชาวพม่านี้บอกว่าท่านไม่ได้มุ่งพระนิพพาน ท่านยังไม่หมายเป็นพระอรหันต์ แต่ท่านมุ่งถึงพระโพธิสัตว์ภูมิ เพื่อช่วยสัตว์โลกให้พ้นทุกข์  เป็นทีพึ่งของสัตว์โลก 

     ตามธรรมดาสัตว์ที่เกิดมาในโลกนี้ ท่านแบ่งเป็นภูมิต่างๆตามลำดับ ดังนี้ คือ
     ๑. พุทธภูมิ         คือ เป็นพระพุทธเจ้า
     ๒. อรหัตตภูมิ     คือ เป็นพระอรหันต์
     ๓. ปัจเจกภูมิ      คือ เป็นพระปัจเจกพุทธ
     ๔. โพธิสัตว์ภูมิ   คือ เป็นพระโพธิสัตว์
     ๕. เทวภูมิ          คือ เป็นเทวดา
     ๖. นมุสภูมิ         คือ เป็นมนุษย์ธรรมดา
     ๗. เดรัจฉานภูมิ คือ เป็นสัตว์เดรัจฉาน
     ๘. อสุรกายภูมิ  คือ เป็นผี ยังไม่ได้ผุดได้เกิด
     ๙. เปตรภูมิ       คือ เป็นเปรต
     ๑๐ นรกภูมิ        คือ เป็นสัตว์นรก 

     การที่จะเกิดในภูมิชั้่นต่างๆ นั้น ก็สุดแล้วแต่บุญกรรมที่ทำ และความปรารถนาที่จะเป็น
     หลวงพ่อแช่ม ได้ฟังอาจารย์พม่าผู้นั้นอธิบายถึงลัทธิพระโพธิสัตว์ก็รู้สึกพอใจมาก จึงได้ฝากตัวเป็นศิษย์เข้าศึกษาอบรมในสำนักพระภิกษุพม่าองค์นั้นแต่บัดนั้น 
     และได้ตัดสินใจว่า ชีวิตนี้จะบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ เพื่อช่วยบำบัดทุกขภัยของชาวโลก 

วันพุธที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2560

หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง (ตอน ปัญญากล้าในป่าชัฎ )


ปัญญากล้าในป่าชัฎ

     เมื่อเข้าป่าเดินไพร จิตใจก็สงบวิเวก สติปัญญาก็มีกำลังแก่กล้าขึ้น  ธรรมชาติของป่าเขาลำเนาไพร มีแต่ต้นไม้ใหญ่และห้วยละหารธารน้ำใส สิงสาราสัตว์ต่างๆที่อาศัยอยู่ในป่าดง ทำให้มองเห็นสภาวะของโลกนี้เปลี่ยนแปลงไปอีกแบบหนึ่ง  ว่าโลกนี้มันมิใช่โลกของมนุษย์เท่าน้ัน มันเป็นของโลกของสัตว์และไม้ป่าทั้งหลาย   ทั้งสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ตลอดจนวิหคนกกานานาชนิด  มันอยู่กันในป่าอย่างมีอิสระเสรี และมีความสุขตามประสาสัตว์หากินผลไม้ใบหญ่าพออิ่มไปวันๆหนึ่ง ไม่ต้องกังวลถึงวันหน้า ไม่ต้องเก็บสะสมไม้จนเกินส่วน ไม่ต้องโลภมากในทรัพย์สมบัติ  แม้แต่ช้าง วัวกระะทิง มหิงสา ตัวใดใด มันก็กินแต่ยอดไม้ใบหญ้า  มีชีวิตอยู่ได้ไม่เดือดร้อน  ถึงจะมีสัตว์ที่กินสัตว์อื่นเป็นอาหาร  เช่น เสือหรือเหยี่ยว สัตว์จำพวกนี้ก็มีอยู่น้อย  ดูเหมือนธรรมชาติจะสร้างมันมาเพื่อคอยเก็บกินเจ้าสัตว์อ่อนแอ ช่วยตัวเองไม่ได้หรือเคราะห์ร้าย เผลอตัวเท่านั้น   แต่เจ้าสัตว์ร้ายๆพวกนี้เองที่ช่วยให้สัตว์อื่นประเปรียวว่องไว รู้จักหนีภัยอันตรายอยู่เสมอ  ทำให้มันเป็นสัตว์ที่ควรคู่จะอยู่ในป่าดง เวลาเหยี่ยวใหญ่บินมา บรรดานกเล็กนกน้อยทั้งหลายก็จะส่งเสียงร้องเตือนกันไปลั่นป่า  ให้ต่างคนต่างระวังตัว เวลาเสือเดินมาเหนือลม  พวกเก้งกวางสัตว์กินหญ้าทั้งหลายได้กลิ่นเสือ  มันจะทำหูชูชัน ส่งเสียงร้องขึ้นและวิ่งหนี  ทำให้เพื่อนๆ ของมันรู้ตัวว่ามีภัยมาถึงตัว  อย่าว่าแต่สัตว์ป่าเลย  แม้แต่ม้าที่เราเลี้ยงไว้ ถ้าขึ่เข้าป่าไปได้กลิ่นเสือ มันก็หยุด จะทำอย่างไรมันก็ไม่ยอมไป ต้องใช้หัวหอมทาจมูกกลบกลิ่นเสือเสียมันจึงจะยอมวิ่งต่อไป

    ธรรมชาติของป่าเขาลำเนาไพร อันสงบวิเวกใจนี้  ประกอบกับมีภัยอันตรายอยู่รอบด้าน  ทำให้ต้องมีสติอยู่ทุกขณะ  ทำให้ต้องรำลึกคุณพระรัตนตรัยอยู่ทุกเมื่อ  ทำให้ต้องเจริญสมถธรรมอยู่ตลอดเวลา  ในเวลาเดียวกันจิตก็สงบเป็นสมาธิได้รวดเร็ว  เพราะรู้สึกตัวว่าไม่มีที่พึ่งอื่น เราตัวคนเดียว  มีแต่พระรัตนตรัยเท่านั้นเป็นที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยว จึงต้องบำเพ็ญเพียรภาวนาทางจิตอยู่ทุกขณะย่างก้าวเดิน  เมื่อจิตสงบสงัดจากความวุ่นวายฟุ้งซ่านด้วยกิเลสเร่าร้อน สละเสียสิ้นแล้วซึ่งบาปกรรมทั้งหลาย   ยอมสละได้แม้แต่ชีวิตฝากไว้กับคุณพระเช่นนี้ ก็ทำให้จิตแน่วแน่เป็นสมาธิ มีกำลังปัญญากล้า  ธรรมะก็ผุดขึ้นในใจได้  เกิดความสว่างโพลงขึ้น  เห็นแจ้งในธรรมะบางอย่าง  แม้แต่ถ้อยคำบางคำที่เคยได้ยินได้ฟังมา ฟังผ่านๆหูไป  เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างก็เกิดความเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้ง  เช่นคำว่า  "เอาสติเป็นหางเสือ ถือท้ายเรือไว้ให้เที่ยง"   ก็เข้าใจได้ชัดเจนว่า   สติคือความรู้สึกตัวอยู่ทุกขณะจิต ว่าเรากำลังทำอะไร  กำลังคิดอะไรอยู่ในขณะนั้น   ปัญญาคือความสว่างโพลงขึ้นในดวงจิต ความรู้แจ้งแทงตลอดในใจว่าอะไรเป็นอะไร  มันเป็นอาการที่แจ่มสว่าง  เห็นทะลุปรุโปร่งขึ้นในใจเรา 

     การเดินธุดงค์บำเพ็ญสมณธรรมนี้  ทำให้เกิดสติปัญญาขึ้น มีธรรมะผุดสว่างโพลงขึ้นได้เอง ทำให้ระลึกถึงพระพุทธองค์ว่า ถ้ามิได้ทรงออกบวชบำเพ็ญสมณธรรมในป่า  ก็ไม่สามารถตรัสรู้อริยสัจธรรมได้   นึกถึงพระอริยสงฆ์สาวกว่า ท่านสำเร็จอริยมรรคได้ ก็เพราะการถือธุดงควัตร  นึกถึงคำหลวงพ่อทาได้ว่า  ถึงใครจะเรียนจบพระไตรปิฎก ก็เป็นนักปราชญ์ถือคัมภีร์เปล่า ไม่สามารถจะสำเร็จมรรคผลอันใด ผู้ที่จะบรรลุพระโสดาบันเป็นพระอริยบุคคลได้  ต้องถือธุดงควัตรทำให้เข้าใจว่า การที่พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาสั่งสอนพระสาวก สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลได้นั้น มิใช่สำเร็จด้วยการฟังเพียงอย่างเดียว  ท่านผู้นั้นต้องสั่งสมบารมีธรรมมาแล้วในอดีต เป็นผู้มีศีลมีสัตย์ได้อบรมจิตในทางสมณธรรมมาแล้ว เมื่อได้ฟังตรัสเทศนา จึงเกิดปัญญารู้แจ้ง ท่านผู้นั้นจะต้องละบาปบำเพ็ญบุญมาก่อนแล้วทั้งสิ้น  ดังเช่น พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตรเป็นต้น   คนสมัยน้ันคงจะมีจิตใจฝักใฝ่ในธรรมอยู่เป็นปกตินิสัย จึงฟังธรรมบรรลุธรรมภิสมัยได้   ถึงคนเราสมัยนี้ เกิดมามิได้พบพระพุทธองค์ แต่ถ้ามีความตั้งใจเดินโดยทางอริยมรรค ๘ ประการ บำเพ็ญสมณธรรมถูกแบบแผนไม่ทอดทิ้งเสียก็คงจะสำเร็จมรรคผลได้  การศึกษาพระธรรมในทางพระพุทธศาสนาน้ันมีบันได ๓ขั้น คือ เรียนปริยัติขั้นแรก เรียนปฎิบัติขั้นสอง จิตจึงจะก้าวเข้าสู่ปฎิเวธขั้นที่สาม  ถ้าเรียนแต่ปริยัติจะก้าวขึ้นสู่ปฎิเวธไม่ได้เลย

     หลวงพ่อแช่ม  ก็เกิดปัญญาเข้าใจเรื่องไตรสิกขา คือการศึกษาสามขั้น คราวนี้ออกป่าถือศีลเป็นนิจศีล ทำสมาธิให้เกิด เมื่อเกิดสมาธิจิตแล้ว จะเกิดปัญญา  คำว่า ปัญญา คือรู้แจ้งแทงตลอดในธรรมะ คำว่า ธรรมะ คือ ธรรมดา ธรรมชาติ ของโลกและชีวิตที่เป็นจริงแท้เป็นความจริงอันสูงสุด ประเสริฐสุดของโลกนั่นเอง 

     หลวงพ่อแช่ม เดินทางธุดงค์ไป สติปัญญาก็บังเกิดแก่กล้่า  แจ่มแจ้งขึ้นเรื่อยๆเหมือนสายฝนที่หลั่งหล่นลงจากฟากฟ้าไม่มีขาดเม็ด ขณะน้ันหลวงพ่อแช่ม ลืมวัด ลืมบ้าน ลืมมารดาบิดาญาติพี่น้อง  เหมือนชีวิตอยู่ตรเดียวในโลก ชีวิตเหมือนธุลีน้อยๆที่ลอยไปตามกระแสลม  มีแต่ความเบากาย สบายใจ ไร้ห่วง ไร้กังวลทุกสิ่งทุกอย่าง  ไม่ติดข้องอยู้ในสิ่งใดเลย  ชีวิตเป็นสุขอย่างบอกไม่ถูก 

    เดินทางข้ามป่า ข้ามทุ่ง ข้ามท่า ข้ามห้วย ข้ามเขา เรื่อยไป ค่ำไหนก็ปักกลดอธิษฐานจิตพักผ่อนอยู่ชั่วราตรี เช้าก็บิณฑบาตรเลี้ยงชีพเรื่อยไป บางทีก็ไม่เจอบ้านคนเลยก็เคยมีบ่อยๆ อยากน้ำก็กินน้ำตามลำห้วยธาร  ไม่มีอาหารบิณฑบาตรก็เก็บผลไม้ในป่ามาขบฉันไปมื้อหนึ่งๆ  บางทีข้าวก็ไม่ตกถึงท้องเลยถึง ๒-๓ วัน  ก็พอทนอยู่ได้ไม่หิวอะไรนักหนาด้วยกำลังใจนั้นแก่กล้า ศรัทธามั่นคง ถึงที่สุดเข้าจริงๆ ก็สวดมนต์ภาวนาอธิษฐานถึงคุณพระพุทธเจ้า  ผู้เป็นทั้งพระบรมศาสดาและพระบิดาของลูกพระตถาคต  อ้างเอาศีลสัตย์ที่ได้บำเพ็ญมาไม่ด่างพร้อย อ้างเอาเทพยดาที่เป็นทิพยเนตรทิพโสตมาเป็นพยาน  รุงเช้าออกไปบิณฑบาตรก็ได้ข้าวมาสมดังใจปรารถนา  ไม่รู้ว่าเขามาแต่ไหน ถ้าเป็นคนธรรมดา  หรือว่าเทวดาก็ไม่เชิง แต่หลวงพ่อท่านสั่งห้ามไม่ให้ตั้งข้อสงสัย คิดลามกอะไร ให้รับอาหารเขาที่ถวายเท่านั้น  หลวงพ่อแช่มเกิดความมั่นใจว่าบวชเป็นลูกพระตถาคตนี้ไม่อดตายแน่  เพราะบารมีท่านมากเหลือเกิน  เสด็จปรินิพานไปแล้วตั้ง ๒๕๐๐ กว่าปีแล้ว ยังคุ้มครองมาถึงพระภิกษุในพระศาสนา 

    ส่วนสัตว์ร้ายในป่าที่ต้องระวัง ก็มี งู เสือ ช้าง หมี วัวกระทิง มหิสา ๖ ชนิดนี้ บางทีได้พบปะกัน บางทีก็แคล้วคลาดกันไป  แต่ถ้าพบปะเจอะเจอเขาเข้าแล้ว  ก็ไม่หันหน้าหนี ต้องใจมั่นคงไม่หวั่นไหว  มีความเชื่อมั่นในพระพุทธคุณ  และบุญกุศลของเรา ต้องแผ่เมตตาจิตแก่เขา ถ้ากำลังเดินทางอยู่ก็ต้องหยุดยืนนิ่ง  เพ่งมองเขาด้วยสายตาที่เป็นมิตร มีเมตตาจิต พูดกับเขา ถ้าเป็นเสือลายพาดกลอนตัวโตเท่าลูกวัว ก็พูดว่า "นี่แนะ เจ้าเสือเอ๋ยเจ้าก็เป็นสัตว์โลกชนิดหนึ่ง เราก็เป็นสัตว์โลกชนิดหนึ่ง เราต่างคนต่างเกิดมา ไม่เคยเห็นหน้ากัน ไม่เคยมีเวรมีภัยแก่กัน ก็ขอให้เราต่างคนต่างอยู่อย่าทำร้ายเบียดเบียนกัน  ให้เป็นเวรเป็นภัยสืบต่อไปเลย  ขอให้เราต่างคนต่างไปตามประสาของเรา เราไม่เคยเบียดเบียนสัตว์อื่น เราเข้าป่ามาเพื่อบำเพ็ญบุญกิริยาวัตร เพื่อสืบพระศาสนา ให้ความสุขแก่สัตว์อื่น ทั้งในชาตินี้และชาติหน้า  ขอให้เจ้าหลีกทางให้เราเสีย ขอบุญกุศลที่เราบำเพ็ญมาจงคุ้มครองเจ้าให้มีความสุขเถิด" พูดอย่างนี้บางทีมันก็หลีกเราไป อย่างมากก็ส่งเสียงคำรามลั่นป่าเท่านั้น  มันไม่เคยทำอันตรายเราเลย  เวลากลางคืนเราปักกลดมันก็มาเดินวนเวียนอยู่ใกล้ๆ เราก็สวดมนต์ภาวนาแผ่เมตตาจิตให้มัน มันก็ไม่เคยล่วงล้ำกรดเราเลย  ส่วนช้างน้ัน มันไปไหนกันเป็นโขลงๆ  ได้ยินเสียงมาแต่ไกล เรารู้ว่ามันอยู่ทางไหน ก็หลีกหลบไป จวนตัวเข้าจริงๆ ก็ต้องตั้งจิตภาวนาให้มั่นคง ไม่หวั่นไหว พูดกับมันว่า " พงศ์พันธ์ของเจ้าก็เคยอุปัฎฐากพระพุทธองค์ ไม่เคยทำร้ายพระพุทธองค์ เราก็ลูกหลานพระตถาคต เจ้าก็สืบเชื้อสายมา ขอจงอย่าทำร้ายเบียดเบียนกันให้มีเวรสืบไปเลย ขอให้เราต่างคนต่างอยู่ หลีกกันไป"  ช้างมันก็ไม่เคยเข้ามาแทงมาเหยียบย่ำทำอันตรายเลย  ควายป่า มหิสา โคไพร ก็เช่นกัน ก็มีวิธีต่อสู้กับมันด้วยจิตที่เหนือกว่า มั่นคง เข้มแข็งกว่า  แผ่เมตตาให้เขา  ก็ไม่มีอันตรายใดใด 

     ข้อสำคัญเวลาปักกลดจำวัดแล้ว  ก่อนนอนต้องสวดมนต์แผ่เมตตาจิตด้วยบทพระคาถากรณีเมตตาสูตร  รัตนสูตร พาหุง ๘ บท พระอรหันต์๘ ทิศ แล้วสวดแผ่เมตตาแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ตลอดจนผีสางเทวดา เจ้าป่า เจ้าเขา 

     นอกจากนั้นก็ต้องสวดบทกรวดน้ำของโบราณ คือบทอิมินา แผ่บุญกุศลให้แก่สรรพสัตว์ทั่วหน้า  ตลอดจนผีสางเทวดาอารักษ์เจ้าทุ่งเจ้าป่าเขาทั้งหลาย  

     เมื่อหลวงพ่อแช่มไปบำเพ็ญภาวนาในป่าใหญ่ สติปัญญาก็แก่กล้าสว่างไสว มีศรัทธามั่นคงอยู่ในคำสอนของพระตถาคต ผู้เป็นพระบรมศาสดา ได้สติปัญญาว่า โลกนี้ยังคงเป็นอยู่เช่นนี้สืบไปอีกชั่วกัปป์ชั่วกัลป์ แต่ชีวิตมนุษย์เกิดมาแล้วก็อยู่เพียงชั่วอายุหนึ่ง  ไม่กี่สิบปี ถ้าเทียบเวลาของโลก ก็ชั่วครู่ชั่วยาม ชีวิตจึงเหมือนฟองน้ำ เกิดแล้วดับไป เป็นอยู่เช่นนี้ ไม่รู้กี่แสนชาติ กี่ล้านชาติ เมื่อเราเกิดมาในชาตินี้ จึงควรบำเพ็ญบุญบารมีเพื่อว่าตายไปเกิดใหม่ จะได้เกิดในที่ดีกว่า ประเสริฐกว่า เพราะคนเราตายแล้วต้องเกิด จะเกิดเป็นอะไร ก็สุดแต่บุญกรรมที่ทำไว้ในชาตินี้ 

     


(โปรดติดตามตอนต่อไป)
      

วันอาทิตย์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2560

หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง (ตอน นิราศเมืองพม่า)


นิราศเมืองพม่า 

     หลวงพ่อแช่ม ได้เดินทางไปธุดงค์ ไปนมัสการสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ๓ แห่ง ๓ หน  คือพระปฐมเจดีย์  พระแท่นดงรัง  และพระพุทธบาท  จิตใจก็ยิ่งมั่นคงในพระพุทธศาสนาเกิดปัญญาเห็นธรรมะได้จากสถานที่ศักดิ์สิทธ์นั้นๆ  จนแลเห็นคุณค่าของพระพุทธองค์ได้แจ่มกระจ่างสว่างใจ   เกิดความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธจริยา เกิดความใฝ่ฝันที่จะดำเนินตามรอยพระบาทพระพุทธองค์   การธุดงค์ไป "อย่างโดดเดี่ยวเหมือนนอแรด" น้ันทำให้ละห่วง หมดกังวล เบากาย  สบายใจ  ปลอดโปร่ง  แจ่มใส   สว่าง เหมือนอย่างได้เคยลิ้มรสจากสันติสุขอย่างที่เคยได้รับมา คำว่า "นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ"  ไม่มีสุขใดยิ่งกว่าความสงบน้ัน  ที่จริงก็เป็นคำพูดที่พูดกันอยู่เสมอ  แต่คนที่จะเข้าใจแจ่มแจ้งจริงๆน้ัน  ต้องได้เคยลิ้มรสความสงบน้ันมาด้วยตนเอง  ความสงบในจิตใจ หมดห่วง หมดกังวล  ห่างไกลความโลภ โกรธ หลง  ไม่ติดแต่นยึดมั่นอยู่ในยศศักดิ์ ทรัพย์สมบัติ แม้แต่ที่อยู่ เครื่องนุ่งห่ม  อาหาร ก็ไม่มีกังวลใดๆ มีชีวิตด้วยการเจริญภาวนาเท่านั้น 

     แต่การเจริญภาวนาสมณธรรมอยู่ภายในวัดน้ัน เปรียบเหมือนท่อนไม้สดที่ตัดเอาแช่ทิ้งไว้ในสระน้ำ  ไม้นั้นยังไม่แห้งพอที่จะจุดไฟแห่งปัญญาให้ลุกสว่างได้  ต้องท่องเที่ยวสัญจรไปแต่ผู้เดียว  เหมือนเอาท่อนไม้ขึ้นจากสระน้ำ  ไม้นั้นก็ค่อยแห้งเปราะ เหมาะแก่การจุดไฟแห่งปัญญา  ยางไม้สดและน้ำที่ชุ่มอยู่เหมือนกิเลสตัณหา ความโลภ โกรธ หลง อุปกิเลส และนิวรณ์๕ จึงจะแห้งหายสิ้นไป 

     หลวงพ่อแช่ม คิดเห็นเช่นนี้  จึงต้ังใจจะเดินทางธุดงค์ท่องเที่ยวแต่ผู้เดียว เพื่อจะชำระจิตใจให้ผ่องใส  เผอิญในพรรษาน้ัน มีพระภิกษุอาวุูโส ลาสึกออกไปแต่งงานกับสตรี ทำให้พระเณรหวั่นไหวกันมาก เพราะเป็นพระภิกษุที่เคยเคารพนับถือกันอยู่  จู่ๆ ก็ลาสึกออกไปมีเมียเสียเช่นนี้ ทำให้พระเณรพากันขาดที่ยึดเหนี่ยวทางใจ หลวงพ่อทานั้นเสียใจมากถึงแก่ไม่พูดจากับใครอยู่หลายวัน  ต่อมาพระหลวงพ่อองค์หนึ่ง อายุ ๖๕-๗๐ ปีก็ล้มเจ็บมรณภาพลง  
  
     หลวงพ่อแช่มก็คิดสะท้อนใจว่า ถ้าชีวิตพระของเรารอดพ้นจากบ่วงมารศรีหรือกิเลสมารนี้ไปได้  ก็หนีไม่พ้นมัจจุมาร ถึงบวชเป็นพระถือศีล ๒๒๗ ข้อก็ตามที ถ้าไม่ได้บำเพ็ญสมณธรรมให้คู่ควรแก่ความเป็นแก้วประการที่สามให้ชนเคารพบูชา ก็นับว่าเสียทีบวชเปล่า  ตายไปก็หนึไม่พ้นเวียนว่ายตายเกิดอยู่  

     หลวงพ่อแช่มจึงเลือกทางเดินบนทางสองแพร่ง โดยการถือธุดงค์วัตรบำเพ็ญสมณธรรม  เมื่อหลวงพ่อแช่มตรึกตรองใจเด็ดขาดแล้ว  จึงเข้ากราบลาหลวงพ่อทาอาจารย์ขอออกธุดงค์ไปประเทศพม่า

     หลวงพ่อทาได้สอบถามความประสงค์แน่นอนแล้ว  ก็ยินดี อนุญาตให้ และยังได้กล่าวอบรมสั่งสอนถึงเรื่องธุดงควัตรอีกเป็นอันมาก 

     ท่านกล่าวว่า  การถือธุดงค์น้ันไม่ใช่แต่การท่องเที่ยวเดินทางไปปักกลดอยู่ตามที่แจ้ง ตามโคนไม้หรือในถ้ำเท่านั้น  การถือธุดงค์ไม่ใช่กิจของสงฆ์ฝ่ายอรัญญิกาวาสเท่าน้ัน  พระภิกษุสงฆ์ฝ่ายคามวาสีที่อยู่ในบ้านเมืองวัดวาอารามก็ถือธุดงค์ได้ พระภิกษุสงฆ์ทุกองค์ควรหาโอกาสถือธุดงค์ให้ได้สักครั้ง  เป็นการเดินทางตามรอยบาทพระพุทธองค์ ผู้เป็นบรมครูของเราทั้งหลาย  พระพุทธองค์ได้ทรงบัญญัติธุดงควัตรด้วยพระองค์เอง และพระองค์ก็ทรงปฎิบัติธุดงควัตรด้วยพระองค์เองทุกประการ พระองค์ทรงปฎิบัติมาครบถ้วนทุกประการ ทรงเห็นผลในการปฎิบัติธุดงค์ว่าเป็นเครื่องขัดเกลาอาสวะกิเลสให้สิ้นไป   การปฎิบัติธุดงค์เป็นการเดินทางอริยมรรค คือ มรรค ๘ จนกระทั่งได้บรรลุถึงพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ  การที่จะบรรลุอริยสัจธรรมได้  เป็นพระอริยบุคคลนั้นท่านล้วนต้องผ่านการถือธุดงควัตรมาก่อนแล้วทั้งสิ้น  สุดแต่ใครจะถือธุดงค์ข้อใด  อย่างใดก็แล้วแต่อัธยาศัยของผู้นั้น   สุดแต่วาสนาบารมีที่เคยสร้างมา  พระอริยสาวกทุกรูปก็ได้ถือปฎิบัติ ผ่านการธุดงค์มาแล้วทั้งสิ้น เพราะธุดงค์วัตรเป็นเครื่องมือสำหรับปฎิบัติฝึกฝนอบรมใจให้เบาบางจากกิเลส การจะก้าวขึ้นสู่พระอริยบุคคลชั้นโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล ชั้นอนาคามิมรรค อนาคามีผล ชั้นสกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล พระอรหัตตมรรค พระอรหัตตผล ทั้ง๘ ชั้นนี้ ต้องผ่านการต่อสู้กับกิเลสอาสวะมาแล้วอย่างโชกโชน  คู่ต่อสู้ก็คือการถือปฎิบัติธุดงควัตร ถ้าไม่ถือธุดงควัตร ถึงจะเรียนจบพระไตรปิฎกมหาเปรียญ ๙ ประโยค เป็นนักปราชญ์ทางศาสนา ก็เป็นนักปราชญ์คัมภีร์เท่านั้น  รู้เพียงตามตำรา ยังไม่เข้าใจธรรมะที่ลึกซึ้งทางใจเลย 

     ธุดงควัตรนั้น  พระบรมศาสดาได้ทรงบัญญัติไว้ถึง  ๑๓ ประการคือ
     ๑. ถือแต่ผ้าบังสกุลเป็นวัตร ผ้าอื่นไม่ใช้นุ่งห่มอย่างหนึ่ง
     ๒. ถือแต่ผ้าไตรจีวรสามผืนเป็นวัตร ไม่ใช้ผ้าเกิน   ๓ ผืนอย่างหนึ่ง
     ๓ ถือท่องเที่ยวบิณฑบาตรเป็นวัตร ไม่ขาดไม่เว้นอย่างหนึ่ง 
     ๔ ถือบิณฑบาตรบ้านเดียว แถวเดียวเป็นวัตร ไม่บิณฑบาตรบ้านอื่นแถวอื่นอย่างหนึ่ง
     ๕. ถือบริโภคอาหารอาสน์เดียวเป็นวัตร ไม่บริโภคอีกเมื่อลุกจากที่นั่งแล้วอย่างหนึ่ง  
     ๖. ถือบริโภคอาหารแต่ในบาตรที่บิณฑบาตรได้เป็นวัตร ไม่บริโภคอาหารที่มิได้บิณฑบาตรมาอย่างหนึ่ง 
     ๗. ถือบริโภคอาหารแต่บิณฑบาตรได้มาเป็นวัตร  ไม่บริโภคอาหารที่ไม่ได้บิณฑบาตรมาอย่างหนึ่ง
     ๘. ถือเอาการอยู่ป่าเป็นวัตร ไม่อยู่บ้านเมืองอย่างหนึ่ง
     ๙. ถือเอาการอยู่โคนไม้เป็นวัตร ไม่อยู่กุฎิที่มุงหลังคาอย่างหนึ่ง
     ๑๐.ถือเอาการปักกลดอยู่กลางแจ้งเป็นวัตร ไม่อยู่ในโรงเรือนอย่างหนึ่ง
     ๑๑. ถือเอาการอยู่ป่าช้าเป็นวัตร ไม่อยู่ในที่อื่นอย่างหนึ่ง
     ๑๒. ถือเอาการอยู่ในเสนาสนะที่ท่านจัดไว้ให้อยู่อย่างไรก็อยู่อย่างนั้น  ไม่อยู่ในที่อื่นอย่างหนึ่ง
     ๑๓. ถือเอาการนั่งเป็นวัตร ไม่นอนอย่างหนึ่ง
     ธุดงควัตรทั้ง ๑๓ ประการนี้ ท่านเรียกว่า ตทังคธุดงค์ แปลว่าองค์แห่งธุดงค์ ๑๓ ประการ เป็นข้อปฎิบัติอย่างยิ่งยวดสำหรับฝึกฝนอบรมจิตให้เบาบางห่างไกลจากกิเลสตัณหาราคะทั้งหลาย  แม้จะลำบากยากเย็นอย่างไรก็ต้องถือปฎิบัติให้ได้ครบถ้วนตามกำหนดเวลาที่ตั้งจิตอธิษฐานไว้  ฝนจะตก น้ำ่จะท่วม ุ ยุงหรือมดจะกวนอย่างไรก็ต้องอยู่ให้ครบกำหนด  แม้จะถึงชีวิตร่างกาย เช่น เสือจะมากิน  ช้างจะมาแทง ก็ต้องอยู่ในกลดนั้นจะหลีกหนีไปอยู่ที่อื่นไม่ได้เป็นอันขาด  เหมือนดังที่พระพุทธองค์ทรงตั้งสัตย์อธิษฐานว่าตราบใดยังมิได้ตรัสรู้ธรรมอันวิเศษจะไม่ยอมลุกจากพระอาสน์ที่ตรัสรู้ ฉนั้น  การตั้งจิตอธิษฐานเช่นนี้  เป็นการกระทำที่อาจหาญมั่นคง ไม่คำนึงถึงชีวิตและร่างกายจะแตกดับเรียกว่า เสียชีพไม่ยอมเสียสัตย์  ไม่ใช่แต่เพียงการอธิษฐานเพื่อให้จิตมั่นคงไม่หวั่นไหวเท่านั้น  ต้องบำเพ็ญเพียรภาวนาทางจิตวิปัสสนากรรมฐานไปด้วย ตลอดเวลานั้น 

     การออกท่องเที่ยวธุดงค์นั้น  ไม่ใช่การเดินชมนกชมไม้ ไม่ใช่การเดินทางท่องเที่ยวไปเฉยๆ  หรือเดินทางเพื่อแสวงหาลาภสักการะ แต่ต้องเป็นการเดินทางเพื่อฝึกฝนอบรมตนตามแนวทางธุดงควัตร ๑๓ ประการเท่าน้ัน  จะเลือกปฎิบัติข้อใดก็สุดแล้วแต่อัธยาศัยใจสมัคร  ตามกำลังศรัทธาของตน  แต่ต้องเลือกมาถือปฎิบัติอย่างน้อย ๑ ข้อที่เหมาะสมกับอุปนิสัยของตน  การเดินธุดงค์นั้นย่อมมีโอกาสไดปฎิบัติวัตรได้มากข้อ เช่น ๑.ปักกลดอยู่กลางแจ้งเป็นวัตร เมื่อเดินทางถึงถิ่นไหนตำบลไหน จะหยุดพักก็ปักกลดอธิษฐานการปักกลดอยู่กลางแจ้งตลอดกาล ๑ ราตรี หรือ ๓ ราตรีสุดแล้วแต่สะดวก เมื่อปักกลดลง ณ ที่ใดแล้ว จะถอยกลดไม่ได้จนครบกำหนดที่ตั้งสัตย์อธิษฐานไว้ ฝนจะตก เสือจะดุ ช้างจะมาเป็นโขลง ก็ถอนกลดหนีไม่ได้เลยเป็นอันขาด ๒. ถือเอาการบิณฑบาตรบ้านเดียวแถวเดียวเป็นวัตร ไม่ไปบิณฑบาตรบ้านอื่นแถวอื่น ๓. ถือเอาการฉันอาหารอาสน์เดียวเป็นวัตร เมื่อลุกจากที่นั่งแล้วก็ไม่ฉันอาหารอีกตลอดกาลวันนั้น คือฉันอาหารหนเดียวเท่านั้น ๔. ถือเอาการฉันอาหารในบาตรเป็นวัตร อาหารนอกบาตรไม่ฉัน อาหารคาวหวาน เค็ม เผ็ด ก็รวมฉันในบาตรเท่านั้น ๕. ถือเอาการห่มผ้าไตรจีวร ๓ ผืนเป็นวัตร ไม่ใช้ผ้าอื่นอีก แม้จะหนาวหรือผ้าจะเปียกก็ไม่เปลี่ยนใช้ผ้าอื่นอีก ๗. ถือเอาแต่อาหารที่บิณฑบาตรได้มาเป็นวัตร  ไม่ฉันอาหารอื่นที่มีผู้ถวายภายหลังบิณฑบาตรอีก 

     การธุดงค์นี้เป็นการบังคับใจตนเอง เป็นการฝึกฝนอบรมจิตใจตนเองด้วยการปฎิบัติ ผลจะเกิดแก่ใจตนเองนานาประการ การเดินธุดงค์นี้ ถ้าถือสัตย์มั่นคง ไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่กริ่งเกรงภัยอันตรายใดใด ยึดเอาพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เป็นที่พึ่งให้มั่นคง  เสือช้างผีสางทั้งหลายย่อมยำเกรง ไม่มากร่ำกราย  เรื่องอดอยากก็ไม่ต้องกลัว ลูกพระตถาคตไม่เคยอดตายเลย ตลอดเวลา ๒๕๐๐ ปีเศษ ลูกพระตถาคตไม่เคยอดตายเลย อย่างร้ายแรงก็กินลูกไม้ในป่าได้ ถ้ามีศีลสัตย์มั่นคง จะกินลูกไม้ในป่าไม่ถึง ๓ วัน จะมีคนมาถวายภัตตาหารให้ลูกพระตถาคตเสมอ ให้อธิษฐานถึงคุณศีลที่ได้รักษา อธิษฐานถึงสัตย์ที่ได้ดำรง  อธิษฐานถึงคุณพระพุทธองค์ผู้บิดาของลูกพระตถาคต อธิษฐานถึงธรรมที่ประจักษ์แจ้งในใจ  อธิษฐานถึงคุณพระอริยสงฆ์ที่ดำรงสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา รุ่งเช้าให้มุ่งหน้าไปทางทิศที่ควรจะไป จะได้พบผู้ใจบุญมาตักบาตรทำบุญ  เห็นผู้คนก็อย่าถามทัก อย่านึกในทางลามก ให้รับบิณฑบาตร และสวดอุทิศบุญกุศลให้แก่เขา  ฉันข้าวเขาแล้ว ก็ต้องยถาสัพพี กรวดน้ำแผ่ส่วนบุญให้แก่สรรพสัตว์ทั่วหน้า  บางทีผู้ที่มาตักบาตรแก่เรานั้นก็ไม่ใช่คนธรรมดา เขาเป็นเทวารักษ์กุมเทวดา หรือรุกขเทวดา อยู่ในป่านั้นๆ  

     หลวงพ่อทา  ท่านอบรมสั่งสอนรอบคอบหลายเรื่อง เพราะท่านเป็นพระนักปฎิบัติ ท่านปฎิบัติมาด้วยตนเองจนมีผู้คนเคารพกราบไหว้ท่านทั้งบ้านทั้งเมือง  คำอบรมสั่งสอนของท่านทำให่เกิดความมั่นใจและรื่นเริงในการเดินธุดงค์ในครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง  
    หลวงพ่อแช่ม จึงเตรียมไตรจีวร เครื่องอัฐบริขารครบ แล้วก็ออกเดินทางแบกกลด สะพายบาตรไปแต่องค์เดียว มุ่งหน้าเข้าป่าเมืองกาญจน์ ในฤดูแล้งเดือนอ้ายปีนั้น เหมือนนกที่บินออกจากกรง เข้าสู่ป่า เหมือนนกขมิ้นเหลืองอ่อน ค่ำไหนนอนนั่น  


(โปรดติดตามตอนต่อไป)
     

วันอังคารที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2560

หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง (ตอน ไปไหว้แผ่นพระบาท)

ไปไหว้พระบาท

    พระพุทธบาท จังหวัดสระบุรีเป็นอีกแห่งที่คนไทยนับถือกันมาแต่โบราณว่าเป็นรอยพระบาทที่พระพุทธองค์เสด็จมาประทับรอยพระบาทไว้บนไหล่เขา  เพื่อเป็นเครื่องหมายนิมิตว่า พระพุทธองค์เคยเสด็จมาถึงที่น้ัน  แล้วประทับรอยพระบาทไว้สำหรับสาธุชนเคารพบูชา  อันรอยพระบาทน้ันท่านว่ามีรูปลักษณะอันเป็นมงคล ๑๐๘ ประการ  หากใครได้เคารพบูชาจะเกิดสวัสดิมงคลแก่ชีวิต  ผู้กราบไหว้จะได้เดินตามรอยพระยุคลบาทไๆปสู่สวรรค์นิพพานในภายภาคหน้า   ไม่หลงทางไปสู่ประตูอบายภูมิ คือไม่ต้องเกิดเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย  และสัตว์เดรัจฉาน ๔ ภูมินี้  อย่างต่ำจะได้เกิดเป็นมนุษย์  อย่างสูงจะได้เกิดเป็นพรหมในสวรรค์ช้้นพรหม ๑๖ ช้้น

     ความนิยมเชื่อถือ ศรัทธาของศาสนิกชนว่าคนไปนมัสการพระพุทธบาทเป็นบุญกุศลนั้นสืบเนื่องมาไม่ขาด  จนถึงรัชกาลที่ ๔ ก็เสด็จไปนมัสการ   รัชกาลที่ ๕ ก็เสด็จไปร่ายรำ-เพลงอาวุธบนหลังช้างถวาย  ตามธรรมเนียมโบราณขัติยราชประเพณี  ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินใครมีกำลังไปได้ก็พยายามเดินทางไปนมัสการกัน ทั้งคฤหัสถ์ชายหญิงและพระสงฆ์องค์เจ้า 

     หลวงพ่อแช่มก็ได้เดินทางไปนมัสการพระพุทธบาทตามประเพณี สมัยที่หลวงพ่อแช๋มไปนมัสการนั้น ตกในสมัยรัชกาลที่ ๕ สมัยน้ันรถรายังไม่มี  ถนนหนทางไม่มี ต้องเดินเท้า ขี่ม้า ขี่เกวียนกันท้ังสิ้น คนต่างบ้านต่างเมืองไปกันลำบาก ต้องนอนค้างอ้างแรมกันหลายคืน  กระนั้นก็อุตส่าห์บากบั่นกนัไปมากมาย ทั้งพระเณร ประสกสีกา พระก็ไปปักกลดอยู่รอบๆบริเวณเขาพระพุทธบาท กลดเกลื่อนไปดูเหมือนดอกเห็ดในฤดูฝน  ระหว่างทางนั้นมีบรรดายาจกวณิพกทั้งหลาย ทั้งง่อยเปลี้ยเสียขา ตาบอด เป็นโรคเรื้อนก็มีมาก  พากันมานั้่งขอทานอยู่เกลื่อนไป  หลวงพ่อแช่มได้เห็นคนขอทานแล้วก็คิดถึงความหลังคร้ังที่ท่านเที่ยวขอทานอยู่  แล้วก็คิดว่าได้พ้นสภาพเช่นนั้นมาแล้ว  เราจะเป็นผู้สร้างบารมีเสียเอง เราจะไม่เป็นผู้รับ ซึ่งอยู่ต่ำกว่า เราจะเป็นผู้ให้ซึ่งอยู่สูงกว่า  
     หลวงพ่อแช่ม กลับจากไหว้พระบาทคราวนั้นก็ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ว่า เราบวชเป็นพระนี้ ต้องภิกขาจารข้าวสุกชาวบ้านเลี้ยงชีพตามประเพณีของบุตรพระตถาคต  เราจะให้อะไรแก่ชาวบ้านได้บ้าง นึกถึงพระพุทธองค์ เป็นชาติกษัตริย์ ก็สละหมดสิ้น  ออกบวชภิกขาจารเพื่อโปรดสัตว์โลก  ให้รู้จัการเสียสละ เพื่อสั่งสอนชาวโลกให้อยู่เย็นเป็นสุข  ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง  ไม่เบียดเบียนกัน เป็นทีพึ่งแก่สัตว์โลก  สัตว์โลกมิได้เป็นสุขเพราะทรัพย์ศฤงคารและอาหารเท่านั้น สัตว์โลกเป็นสุขเพราะสัตว์โลกมีจิตใจเป็นสุขด้วยสีลด้วยธรรม  พระขอข้าวเขาเลี้ยงชีพมิได้มาเพื่อสะสม เลี้ยงบุตรภรรยา  แต่เพื่อมีชีวิตอยู่เป็นที่พึ่งแก่สัตว์โลก  เพื่อดำรงศีลดำรงธรรมให้มีอยู่คู่โลกเท่านั้น  

    การดำรงศีลดำรงธรรม เพียงการรักษาศีล ๒๒๗ และสวดมนต์พอแล้วหรือ ?   เราจะต้องดำรงศีลดำรงธรรมให้ยิ่งกว่า มิฉนั้นเราจะเป็นหนี้ข้าวสุกชาวบ้าน  ชาติหน้าเราอาจจะต้องไปเกิดเป็นควายไถนาใช้หนี้ข้าวสุกเขาก็ได้  

     คิดได้เช่นนี้แล้ว  หลวงพ่อแช่มก็เกิดความขวนขวายที่จะดำรงศีลดำรงธรรมให้ยิ่งกว่าแต่ก่อน  นั่นคือการดำเนินตามรอยพระบาท 

    พระพุทธองค์ ลำดับแต่ได้ตรัสรู้  มิได้เสด็จประทับจำพรรษาอยู่ณ ทีเดียวตลอดกาล  พระองค์เสด็จจารึกสัญจรไปเผยแพร่พระธรรมวินัย  จนตลอดพระชนมายุ  แม้วันเสด็จปรินิพพาน ก็ยังโปรดสุภัททปริพาชก ให้สำเร็จพระอรหันต์ เคยตรัสสั่งพระสาวกว่า 

     "ดูก่อน  ภิกษุทั้งหลาย  เธอจงท่องเที่ยวไป  เพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชนในโลกนี้ อย่าไปสองคน  จงไปแต่คนเดียว  จงท่องเที่ยวไปอย่างโดดเดี่ยวเหมือนนอแรด..."
( โปรดติดตามตอนต่อไป)