วันอังคารที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง (ตอน พระโพธิสัตว์เมืองหงษา)


พระโพธิสัตว์เมืองหงษา

       ภิกษุที่จะออกป่าเดินธุดงค์ได้ ต้องตัดขาดจากอารมณ์โลภ โกรธ หลง ทรัพย์สมบัติติดตัวไปไม่ได้  เห็นสตรีสาวสวยจะนึกกำหนัดยินดีไม่ได้  ถ้าหากมีศีลบริสุทธิ จิตวุสุทธิ และกรรมบริสุทธิ์ทั้ง ๓ ประการ มีจิตศรัทธาเลื่อมใสมั่นคงในคุณพระรัตนตรัย  เชื่อมั่นในครูอาจารย์ เชื่อมั่นในบุญกุศลของตนเองแล้ว  ก็จะปลอดภัยด้วยประการทั้งปวง 
     พระภิกษุที่ออกธุดงค์เดินป่านั้น ต้องปลงใจให้ตกยอมสละหมดทุกอย่าง  ความสุขสบาย ลาภยศ สรรเสริญท้ังหลาย แม้ชีวิตร่างกายก็ยอมอุทิศถวายพระศาสดาได้เพื่อประพฤติพรหมจรรย์ เมื่อปลงใจได้เช่นนี้ การเจริญสมถธรรมจิตใจก็จะมีพละกำลังกล้า จะศึกษาอะไรก็สำเร็จสมปรารถนา  การทำเครื่องรางของขลังเสกน้ำมนต์ก็จะเกิดความศักดิ์สิทธ์ 

     หลวงพ่อแช่ม มีความใฝ่ฝันทางนี้ จึงสมัครใจออกธุดงค์แต่เพียงลำพังองค์เดียว ด้วยอุปนิสัยชอบท่องเที่ยว ดั้นด้นข้ามทุ่งข้ามท่า ข้ามป่าข้ามเขาไปทางเมืองกาญจนบุรี  จนล่วงเข้าเขตป่าใหญ่ ค่ำไหนนนอนนั่น ชมนกชมไม้ เอาไพรเป็นเพื่อน  เอาแสงเดือนต่างไต้ ใช้ชีวิตวิเวกในป่ากว้าง  ได้รับความสงบสุขไปตามประสาคนไม่มีห่วงทางโลก  มีชีวิตประดุจดังนกขมิ้นเหลือง ค่ำไหนนอนนั่น ฟังเสียงเสือเสียงช้างร้องในป่า วิเวกวังเวงใจ แต่ก็หาทำอันตรายอันใดไม่ คิดปลงเสียว่า เขาก็ชีวิต เราก็ชีวิต ต่างคนต่างเกิดมาในโลกนี้เพื่อจะมีชีวิตอยู่ต่อไปจนสิ้นลมปราณ  แม้นว่าชาติก่อนเราเกิดเป็นคู่ล้างผลาญกัน คู่เวรคู่กรรมกัน ชาตินี้เราก็คงถูกเสือกัดช้างแทง ถ้าชาติก่อนไม่ได้เป็นคู่เวรคู่กรรมกัน ขอให้ต่างคนต่างไป อย่ามีภัยอันตรายต่อกัน ขอให้สัตว์ทั้งหลายที่เกิดมาร่วมโลกร่วมแผ่นดินนี้ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกัน จงรักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด เมื่อได้ตั้งสัตยาษิฐานแผ่เมตตาเช่นนี้แล้ว เสือช้างก็มิได้มากล้ำกรายเลย  จนภายหลังเมื่อหลวงพ่อแช่มกลับมาอยู่วัดตาก้อง ก็คิดถึงสัตว์ป่าพวกนี้ เลยเอาหมูป่า หมีมาเลี้ยงไว้ที่วัด หลวงพ่อแช่มเป็นพระมีเมตตาสูง แม้สัตว์ป่าเปรียวๆดุๆ ก็เลี้ยงเชื่องได้ 

    หลวงพ่อแช่มได้ธุดงค์บุกป่าดงไปจนพ้นเขตแดนไทยเข้าไปในประเทศพม่า  ในระหว่างธุดงค์ในเขตพม่าน้ันได้พบชาวพม่าคนหนึ่ง จะว่าเป็นพระก็ไม่ใช่ จะว่าเป็นฤาษีก็ไม่เชิง คือไม่นุ่งผ้าคากรอง สวมชฎาตามแบบฤาษีทีเคยฟังเขาเล่ากันมาแต่โบราณ  แต่นุ่งผ้าย้อมฝาดสีหม่นๆเหมือนสีย้อมกรัก นุ่งผืนห่มผืน ปลูกกระท่อมอยู่ในป่าเชิงเขา  มีภรรยาและมีบุตรหญิงด้วย แต่ไว้มวย นุ่งชฎาหาได้โกนหัว โกนหนวดเคราไม่  มีผู้นิยมนับถือว่าเป็นผู้วิเศษ สำเร็จธรรมชั้นสูง

     หลวงพ่อแช่มกำลังใฝ่ฝันที่จะศึกษาเล่าเรียนวิชาทางนี้จึงได้สมัครเข้าศึกษาวิชากับเซียนพม่านี้  ในเมืองพม่าไม่มีวัดวาอารามเหมือนของไทยเรา ใครปลูกตึก ปลูกกระท่อม ทำเป็นที่อยู่อาศัยปฎิบัติธรรมของตนเองก็เรียกว่าวัดเหมือนกัน  แต่เป็นวัดส่วนตัว ผู้ปลูกสร้างวัดนั้นก็เป็นเจ้าของเป็นสมภาพเจ้าวัดเอง  เป็นอุปัชฌาชย์บวชคนได้ ปฎิบัติธรรมตามลัทธิความเชื่อถือของตน  แต่เซียนพม่าคนน้ันท่านก็ว่าท่านเป็นพระสงฆ์เหมือนกัน  แต่ไม่บิณฑบาตร ทำไร่ ทำนา เลี้ยงวัวเอง  ซ้ำมีภรรยาและบุตรสาวด้วย แต่ท่านบอกว่าท่านประพฤติพรหมจรรย์ทั้ง ๓ คน  ไม่เกี่ยวข้องในทางเพศ อยู่ร่วมกันแบบพระเวสสันดรกับนางมัทรี และกัณหาชาลีในมหาเวสสันดรชาดก 

     หลวงพ่อแช่ม รู้สึกพอใจมาก ที่ได้พบการดำเนินชีวิตแบบพระเวสสันดร พระนักบวชชาวพม่านี้บอกว่าท่านไม่ได้มุ่งพระนิพพาน ท่านยังไม่หมายเป็นพระอรหันต์ แต่ท่านมุ่งถึงพระโพธิสัตว์ภูมิ เพื่อช่วยสัตว์โลกให้พ้นทุกข์  เป็นทีพึ่งของสัตว์โลก 

     ตามธรรมดาสัตว์ที่เกิดมาในโลกนี้ ท่านแบ่งเป็นภูมิต่างๆตามลำดับ ดังนี้ คือ
     ๑. พุทธภูมิ         คือ เป็นพระพุทธเจ้า
     ๒. อรหัตตภูมิ     คือ เป็นพระอรหันต์
     ๓. ปัจเจกภูมิ      คือ เป็นพระปัจเจกพุทธ
     ๔. โพธิสัตว์ภูมิ   คือ เป็นพระโพธิสัตว์
     ๕. เทวภูมิ          คือ เป็นเทวดา
     ๖. นมุสภูมิ         คือ เป็นมนุษย์ธรรมดา
     ๗. เดรัจฉานภูมิ คือ เป็นสัตว์เดรัจฉาน
     ๘. อสุรกายภูมิ  คือ เป็นผี ยังไม่ได้ผุดได้เกิด
     ๙. เปตรภูมิ       คือ เป็นเปรต
     ๑๐ นรกภูมิ        คือ เป็นสัตว์นรก 

     การที่จะเกิดในภูมิชั้่นต่างๆ นั้น ก็สุดแล้วแต่บุญกรรมที่ทำ และความปรารถนาที่จะเป็น
     หลวงพ่อแช่ม ได้ฟังอาจารย์พม่าผู้นั้นอธิบายถึงลัทธิพระโพธิสัตว์ก็รู้สึกพอใจมาก จึงได้ฝากตัวเป็นศิษย์เข้าศึกษาอบรมในสำนักพระภิกษุพม่าองค์นั้นแต่บัดนั้น 
     และได้ตัดสินใจว่า ชีวิตนี้จะบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ เพื่อช่วยบำบัดทุกขภัยของชาวโลก 

วันพุธที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2560

หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง (ตอน ปัญญากล้าในป่าชัฎ )


ปัญญากล้าในป่าชัฎ

     เมื่อเข้าป่าเดินไพร จิตใจก็สงบวิเวก สติปัญญาก็มีกำลังแก่กล้าขึ้น  ธรรมชาติของป่าเขาลำเนาไพร มีแต่ต้นไม้ใหญ่และห้วยละหารธารน้ำใส สิงสาราสัตว์ต่างๆที่อาศัยอยู่ในป่าดง ทำให้มองเห็นสภาวะของโลกนี้เปลี่ยนแปลงไปอีกแบบหนึ่ง  ว่าโลกนี้มันมิใช่โลกของมนุษย์เท่าน้ัน มันเป็นของโลกของสัตว์และไม้ป่าทั้งหลาย   ทั้งสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ตลอดจนวิหคนกกานานาชนิด  มันอยู่กันในป่าอย่างมีอิสระเสรี และมีความสุขตามประสาสัตว์หากินผลไม้ใบหญ่าพออิ่มไปวันๆหนึ่ง ไม่ต้องกังวลถึงวันหน้า ไม่ต้องเก็บสะสมไม้จนเกินส่วน ไม่ต้องโลภมากในทรัพย์สมบัติ  แม้แต่ช้าง วัวกระะทิง มหิงสา ตัวใดใด มันก็กินแต่ยอดไม้ใบหญ้า  มีชีวิตอยู่ได้ไม่เดือดร้อน  ถึงจะมีสัตว์ที่กินสัตว์อื่นเป็นอาหาร  เช่น เสือหรือเหยี่ยว สัตว์จำพวกนี้ก็มีอยู่น้อย  ดูเหมือนธรรมชาติจะสร้างมันมาเพื่อคอยเก็บกินเจ้าสัตว์อ่อนแอ ช่วยตัวเองไม่ได้หรือเคราะห์ร้าย เผลอตัวเท่านั้น   แต่เจ้าสัตว์ร้ายๆพวกนี้เองที่ช่วยให้สัตว์อื่นประเปรียวว่องไว รู้จักหนีภัยอันตรายอยู่เสมอ  ทำให้มันเป็นสัตว์ที่ควรคู่จะอยู่ในป่าดง เวลาเหยี่ยวใหญ่บินมา บรรดานกเล็กนกน้อยทั้งหลายก็จะส่งเสียงร้องเตือนกันไปลั่นป่า  ให้ต่างคนต่างระวังตัว เวลาเสือเดินมาเหนือลม  พวกเก้งกวางสัตว์กินหญ้าทั้งหลายได้กลิ่นเสือ  มันจะทำหูชูชัน ส่งเสียงร้องขึ้นและวิ่งหนี  ทำให้เพื่อนๆ ของมันรู้ตัวว่ามีภัยมาถึงตัว  อย่าว่าแต่สัตว์ป่าเลย  แม้แต่ม้าที่เราเลี้ยงไว้ ถ้าขึ่เข้าป่าไปได้กลิ่นเสือ มันก็หยุด จะทำอย่างไรมันก็ไม่ยอมไป ต้องใช้หัวหอมทาจมูกกลบกลิ่นเสือเสียมันจึงจะยอมวิ่งต่อไป

    ธรรมชาติของป่าเขาลำเนาไพร อันสงบวิเวกใจนี้  ประกอบกับมีภัยอันตรายอยู่รอบด้าน  ทำให้ต้องมีสติอยู่ทุกขณะ  ทำให้ต้องรำลึกคุณพระรัตนตรัยอยู่ทุกเมื่อ  ทำให้ต้องเจริญสมถธรรมอยู่ตลอดเวลา  ในเวลาเดียวกันจิตก็สงบเป็นสมาธิได้รวดเร็ว  เพราะรู้สึกตัวว่าไม่มีที่พึ่งอื่น เราตัวคนเดียว  มีแต่พระรัตนตรัยเท่านั้นเป็นที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยว จึงต้องบำเพ็ญเพียรภาวนาทางจิตอยู่ทุกขณะย่างก้าวเดิน  เมื่อจิตสงบสงัดจากความวุ่นวายฟุ้งซ่านด้วยกิเลสเร่าร้อน สละเสียสิ้นแล้วซึ่งบาปกรรมทั้งหลาย   ยอมสละได้แม้แต่ชีวิตฝากไว้กับคุณพระเช่นนี้ ก็ทำให้จิตแน่วแน่เป็นสมาธิ มีกำลังปัญญากล้า  ธรรมะก็ผุดขึ้นในใจได้  เกิดความสว่างโพลงขึ้น  เห็นแจ้งในธรรมะบางอย่าง  แม้แต่ถ้อยคำบางคำที่เคยได้ยินได้ฟังมา ฟังผ่านๆหูไป  เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างก็เกิดความเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้ง  เช่นคำว่า  "เอาสติเป็นหางเสือ ถือท้ายเรือไว้ให้เที่ยง"   ก็เข้าใจได้ชัดเจนว่า   สติคือความรู้สึกตัวอยู่ทุกขณะจิต ว่าเรากำลังทำอะไร  กำลังคิดอะไรอยู่ในขณะนั้น   ปัญญาคือความสว่างโพลงขึ้นในดวงจิต ความรู้แจ้งแทงตลอดในใจว่าอะไรเป็นอะไร  มันเป็นอาการที่แจ่มสว่าง  เห็นทะลุปรุโปร่งขึ้นในใจเรา 

     การเดินธุดงค์บำเพ็ญสมณธรรมนี้  ทำให้เกิดสติปัญญาขึ้น มีธรรมะผุดสว่างโพลงขึ้นได้เอง ทำให้ระลึกถึงพระพุทธองค์ว่า ถ้ามิได้ทรงออกบวชบำเพ็ญสมณธรรมในป่า  ก็ไม่สามารถตรัสรู้อริยสัจธรรมได้   นึกถึงพระอริยสงฆ์สาวกว่า ท่านสำเร็จอริยมรรคได้ ก็เพราะการถือธุดงควัตร  นึกถึงคำหลวงพ่อทาได้ว่า  ถึงใครจะเรียนจบพระไตรปิฎก ก็เป็นนักปราชญ์ถือคัมภีร์เปล่า ไม่สามารถจะสำเร็จมรรคผลอันใด ผู้ที่จะบรรลุพระโสดาบันเป็นพระอริยบุคคลได้  ต้องถือธุดงควัตรทำให้เข้าใจว่า การที่พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาสั่งสอนพระสาวก สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลได้นั้น มิใช่สำเร็จด้วยการฟังเพียงอย่างเดียว  ท่านผู้นั้นต้องสั่งสมบารมีธรรมมาแล้วในอดีต เป็นผู้มีศีลมีสัตย์ได้อบรมจิตในทางสมณธรรมมาแล้ว เมื่อได้ฟังตรัสเทศนา จึงเกิดปัญญารู้แจ้ง ท่านผู้นั้นจะต้องละบาปบำเพ็ญบุญมาก่อนแล้วทั้งสิ้น  ดังเช่น พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตรเป็นต้น   คนสมัยน้ันคงจะมีจิตใจฝักใฝ่ในธรรมอยู่เป็นปกตินิสัย จึงฟังธรรมบรรลุธรรมภิสมัยได้   ถึงคนเราสมัยนี้ เกิดมามิได้พบพระพุทธองค์ แต่ถ้ามีความตั้งใจเดินโดยทางอริยมรรค ๘ ประการ บำเพ็ญสมณธรรมถูกแบบแผนไม่ทอดทิ้งเสียก็คงจะสำเร็จมรรคผลได้  การศึกษาพระธรรมในทางพระพุทธศาสนาน้ันมีบันได ๓ขั้น คือ เรียนปริยัติขั้นแรก เรียนปฎิบัติขั้นสอง จิตจึงจะก้าวเข้าสู่ปฎิเวธขั้นที่สาม  ถ้าเรียนแต่ปริยัติจะก้าวขึ้นสู่ปฎิเวธไม่ได้เลย

     หลวงพ่อแช่ม  ก็เกิดปัญญาเข้าใจเรื่องไตรสิกขา คือการศึกษาสามขั้น คราวนี้ออกป่าถือศีลเป็นนิจศีล ทำสมาธิให้เกิด เมื่อเกิดสมาธิจิตแล้ว จะเกิดปัญญา  คำว่า ปัญญา คือรู้แจ้งแทงตลอดในธรรมะ คำว่า ธรรมะ คือ ธรรมดา ธรรมชาติ ของโลกและชีวิตที่เป็นจริงแท้เป็นความจริงอันสูงสุด ประเสริฐสุดของโลกนั่นเอง 

     หลวงพ่อแช่ม เดินทางธุดงค์ไป สติปัญญาก็บังเกิดแก่กล้่า  แจ่มแจ้งขึ้นเรื่อยๆเหมือนสายฝนที่หลั่งหล่นลงจากฟากฟ้าไม่มีขาดเม็ด ขณะน้ันหลวงพ่อแช่ม ลืมวัด ลืมบ้าน ลืมมารดาบิดาญาติพี่น้อง  เหมือนชีวิตอยู่ตรเดียวในโลก ชีวิตเหมือนธุลีน้อยๆที่ลอยไปตามกระแสลม  มีแต่ความเบากาย สบายใจ ไร้ห่วง ไร้กังวลทุกสิ่งทุกอย่าง  ไม่ติดข้องอยู้ในสิ่งใดเลย  ชีวิตเป็นสุขอย่างบอกไม่ถูก 

    เดินทางข้ามป่า ข้ามทุ่ง ข้ามท่า ข้ามห้วย ข้ามเขา เรื่อยไป ค่ำไหนก็ปักกลดอธิษฐานจิตพักผ่อนอยู่ชั่วราตรี เช้าก็บิณฑบาตรเลี้ยงชีพเรื่อยไป บางทีก็ไม่เจอบ้านคนเลยก็เคยมีบ่อยๆ อยากน้ำก็กินน้ำตามลำห้วยธาร  ไม่มีอาหารบิณฑบาตรก็เก็บผลไม้ในป่ามาขบฉันไปมื้อหนึ่งๆ  บางทีข้าวก็ไม่ตกถึงท้องเลยถึง ๒-๓ วัน  ก็พอทนอยู่ได้ไม่หิวอะไรนักหนาด้วยกำลังใจนั้นแก่กล้า ศรัทธามั่นคง ถึงที่สุดเข้าจริงๆ ก็สวดมนต์ภาวนาอธิษฐานถึงคุณพระพุทธเจ้า  ผู้เป็นทั้งพระบรมศาสดาและพระบิดาของลูกพระตถาคต  อ้างเอาศีลสัตย์ที่ได้บำเพ็ญมาไม่ด่างพร้อย อ้างเอาเทพยดาที่เป็นทิพยเนตรทิพโสตมาเป็นพยาน  รุงเช้าออกไปบิณฑบาตรก็ได้ข้าวมาสมดังใจปรารถนา  ไม่รู้ว่าเขามาแต่ไหน ถ้าเป็นคนธรรมดา  หรือว่าเทวดาก็ไม่เชิง แต่หลวงพ่อท่านสั่งห้ามไม่ให้ตั้งข้อสงสัย คิดลามกอะไร ให้รับอาหารเขาที่ถวายเท่านั้น  หลวงพ่อแช่มเกิดความมั่นใจว่าบวชเป็นลูกพระตถาคตนี้ไม่อดตายแน่  เพราะบารมีท่านมากเหลือเกิน  เสด็จปรินิพานไปแล้วตั้ง ๒๕๐๐ กว่าปีแล้ว ยังคุ้มครองมาถึงพระภิกษุในพระศาสนา 

    ส่วนสัตว์ร้ายในป่าที่ต้องระวัง ก็มี งู เสือ ช้าง หมี วัวกระทิง มหิสา ๖ ชนิดนี้ บางทีได้พบปะกัน บางทีก็แคล้วคลาดกันไป  แต่ถ้าพบปะเจอะเจอเขาเข้าแล้ว  ก็ไม่หันหน้าหนี ต้องใจมั่นคงไม่หวั่นไหว  มีความเชื่อมั่นในพระพุทธคุณ  และบุญกุศลของเรา ต้องแผ่เมตตาจิตแก่เขา ถ้ากำลังเดินทางอยู่ก็ต้องหยุดยืนนิ่ง  เพ่งมองเขาด้วยสายตาที่เป็นมิตร มีเมตตาจิต พูดกับเขา ถ้าเป็นเสือลายพาดกลอนตัวโตเท่าลูกวัว ก็พูดว่า "นี่แนะ เจ้าเสือเอ๋ยเจ้าก็เป็นสัตว์โลกชนิดหนึ่ง เราก็เป็นสัตว์โลกชนิดหนึ่ง เราต่างคนต่างเกิดมา ไม่เคยเห็นหน้ากัน ไม่เคยมีเวรมีภัยแก่กัน ก็ขอให้เราต่างคนต่างอยู่อย่าทำร้ายเบียดเบียนกัน  ให้เป็นเวรเป็นภัยสืบต่อไปเลย  ขอให้เราต่างคนต่างไปตามประสาของเรา เราไม่เคยเบียดเบียนสัตว์อื่น เราเข้าป่ามาเพื่อบำเพ็ญบุญกิริยาวัตร เพื่อสืบพระศาสนา ให้ความสุขแก่สัตว์อื่น ทั้งในชาตินี้และชาติหน้า  ขอให้เจ้าหลีกทางให้เราเสีย ขอบุญกุศลที่เราบำเพ็ญมาจงคุ้มครองเจ้าให้มีความสุขเถิด" พูดอย่างนี้บางทีมันก็หลีกเราไป อย่างมากก็ส่งเสียงคำรามลั่นป่าเท่านั้น  มันไม่เคยทำอันตรายเราเลย  เวลากลางคืนเราปักกลดมันก็มาเดินวนเวียนอยู่ใกล้ๆ เราก็สวดมนต์ภาวนาแผ่เมตตาจิตให้มัน มันก็ไม่เคยล่วงล้ำกรดเราเลย  ส่วนช้างน้ัน มันไปไหนกันเป็นโขลงๆ  ได้ยินเสียงมาแต่ไกล เรารู้ว่ามันอยู่ทางไหน ก็หลีกหลบไป จวนตัวเข้าจริงๆ ก็ต้องตั้งจิตภาวนาให้มั่นคง ไม่หวั่นไหว พูดกับมันว่า " พงศ์พันธ์ของเจ้าก็เคยอุปัฎฐากพระพุทธองค์ ไม่เคยทำร้ายพระพุทธองค์ เราก็ลูกหลานพระตถาคต เจ้าก็สืบเชื้อสายมา ขอจงอย่าทำร้ายเบียดเบียนกันให้มีเวรสืบไปเลย ขอให้เราต่างคนต่างอยู่ หลีกกันไป"  ช้างมันก็ไม่เคยเข้ามาแทงมาเหยียบย่ำทำอันตรายเลย  ควายป่า มหิสา โคไพร ก็เช่นกัน ก็มีวิธีต่อสู้กับมันด้วยจิตที่เหนือกว่า มั่นคง เข้มแข็งกว่า  แผ่เมตตาให้เขา  ก็ไม่มีอันตรายใดใด 

     ข้อสำคัญเวลาปักกลดจำวัดแล้ว  ก่อนนอนต้องสวดมนต์แผ่เมตตาจิตด้วยบทพระคาถากรณีเมตตาสูตร  รัตนสูตร พาหุง ๘ บท พระอรหันต์๘ ทิศ แล้วสวดแผ่เมตตาแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ตลอดจนผีสางเทวดา เจ้าป่า เจ้าเขา 

     นอกจากนั้นก็ต้องสวดบทกรวดน้ำของโบราณ คือบทอิมินา แผ่บุญกุศลให้แก่สรรพสัตว์ทั่วหน้า  ตลอดจนผีสางเทวดาอารักษ์เจ้าทุ่งเจ้าป่าเขาทั้งหลาย  

     เมื่อหลวงพ่อแช่มไปบำเพ็ญภาวนาในป่าใหญ่ สติปัญญาก็แก่กล้าสว่างไสว มีศรัทธามั่นคงอยู่ในคำสอนของพระตถาคต ผู้เป็นพระบรมศาสดา ได้สติปัญญาว่า โลกนี้ยังคงเป็นอยู่เช่นนี้สืบไปอีกชั่วกัปป์ชั่วกัลป์ แต่ชีวิตมนุษย์เกิดมาแล้วก็อยู่เพียงชั่วอายุหนึ่ง  ไม่กี่สิบปี ถ้าเทียบเวลาของโลก ก็ชั่วครู่ชั่วยาม ชีวิตจึงเหมือนฟองน้ำ เกิดแล้วดับไป เป็นอยู่เช่นนี้ ไม่รู้กี่แสนชาติ กี่ล้านชาติ เมื่อเราเกิดมาในชาตินี้ จึงควรบำเพ็ญบุญบารมีเพื่อว่าตายไปเกิดใหม่ จะได้เกิดในที่ดีกว่า ประเสริฐกว่า เพราะคนเราตายแล้วต้องเกิด จะเกิดเป็นอะไร ก็สุดแต่บุญกรรมที่ทำไว้ในชาตินี้ 

     


(โปรดติดตามตอนต่อไป)
      

วันอาทิตย์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2560

หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง (ตอน นิราศเมืองพม่า)


นิราศเมืองพม่า 

     หลวงพ่อแช่ม ได้เดินทางไปธุดงค์ ไปนมัสการสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ๓ แห่ง ๓ หน  คือพระปฐมเจดีย์  พระแท่นดงรัง  และพระพุทธบาท  จิตใจก็ยิ่งมั่นคงในพระพุทธศาสนาเกิดปัญญาเห็นธรรมะได้จากสถานที่ศักดิ์สิทธ์นั้นๆ  จนแลเห็นคุณค่าของพระพุทธองค์ได้แจ่มกระจ่างสว่างใจ   เกิดความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธจริยา เกิดความใฝ่ฝันที่จะดำเนินตามรอยพระบาทพระพุทธองค์   การธุดงค์ไป "อย่างโดดเดี่ยวเหมือนนอแรด" น้ันทำให้ละห่วง หมดกังวล เบากาย  สบายใจ  ปลอดโปร่ง  แจ่มใส   สว่าง เหมือนอย่างได้เคยลิ้มรสจากสันติสุขอย่างที่เคยได้รับมา คำว่า "นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ"  ไม่มีสุขใดยิ่งกว่าความสงบน้ัน  ที่จริงก็เป็นคำพูดที่พูดกันอยู่เสมอ  แต่คนที่จะเข้าใจแจ่มแจ้งจริงๆน้ัน  ต้องได้เคยลิ้มรสความสงบน้ันมาด้วยตนเอง  ความสงบในจิตใจ หมดห่วง หมดกังวล  ห่างไกลความโลภ โกรธ หลง  ไม่ติดแต่นยึดมั่นอยู่ในยศศักดิ์ ทรัพย์สมบัติ แม้แต่ที่อยู่ เครื่องนุ่งห่ม  อาหาร ก็ไม่มีกังวลใดๆ มีชีวิตด้วยการเจริญภาวนาเท่านั้น 

     แต่การเจริญภาวนาสมณธรรมอยู่ภายในวัดน้ัน เปรียบเหมือนท่อนไม้สดที่ตัดเอาแช่ทิ้งไว้ในสระน้ำ  ไม้นั้นยังไม่แห้งพอที่จะจุดไฟแห่งปัญญาให้ลุกสว่างได้  ต้องท่องเที่ยวสัญจรไปแต่ผู้เดียว  เหมือนเอาท่อนไม้ขึ้นจากสระน้ำ  ไม้นั้นก็ค่อยแห้งเปราะ เหมาะแก่การจุดไฟแห่งปัญญา  ยางไม้สดและน้ำที่ชุ่มอยู่เหมือนกิเลสตัณหา ความโลภ โกรธ หลง อุปกิเลส และนิวรณ์๕ จึงจะแห้งหายสิ้นไป 

     หลวงพ่อแช่ม คิดเห็นเช่นนี้  จึงต้ังใจจะเดินทางธุดงค์ท่องเที่ยวแต่ผู้เดียว เพื่อจะชำระจิตใจให้ผ่องใส  เผอิญในพรรษาน้ัน มีพระภิกษุอาวุูโส ลาสึกออกไปแต่งงานกับสตรี ทำให้พระเณรหวั่นไหวกันมาก เพราะเป็นพระภิกษุที่เคยเคารพนับถือกันอยู่  จู่ๆ ก็ลาสึกออกไปมีเมียเสียเช่นนี้ ทำให้พระเณรพากันขาดที่ยึดเหนี่ยวทางใจ หลวงพ่อทานั้นเสียใจมากถึงแก่ไม่พูดจากับใครอยู่หลายวัน  ต่อมาพระหลวงพ่อองค์หนึ่ง อายุ ๖๕-๗๐ ปีก็ล้มเจ็บมรณภาพลง  
  
     หลวงพ่อแช่มก็คิดสะท้อนใจว่า ถ้าชีวิตพระของเรารอดพ้นจากบ่วงมารศรีหรือกิเลสมารนี้ไปได้  ก็หนีไม่พ้นมัจจุมาร ถึงบวชเป็นพระถือศีล ๒๒๗ ข้อก็ตามที ถ้าไม่ได้บำเพ็ญสมณธรรมให้คู่ควรแก่ความเป็นแก้วประการที่สามให้ชนเคารพบูชา ก็นับว่าเสียทีบวชเปล่า  ตายไปก็หนึไม่พ้นเวียนว่ายตายเกิดอยู่  

     หลวงพ่อแช่มจึงเลือกทางเดินบนทางสองแพร่ง โดยการถือธุดงค์วัตรบำเพ็ญสมณธรรม  เมื่อหลวงพ่อแช่มตรึกตรองใจเด็ดขาดแล้ว  จึงเข้ากราบลาหลวงพ่อทาอาจารย์ขอออกธุดงค์ไปประเทศพม่า

     หลวงพ่อทาได้สอบถามความประสงค์แน่นอนแล้ว  ก็ยินดี อนุญาตให้ และยังได้กล่าวอบรมสั่งสอนถึงเรื่องธุดงควัตรอีกเป็นอันมาก 

     ท่านกล่าวว่า  การถือธุดงค์น้ันไม่ใช่แต่การท่องเที่ยวเดินทางไปปักกลดอยู่ตามที่แจ้ง ตามโคนไม้หรือในถ้ำเท่านั้น  การถือธุดงค์ไม่ใช่กิจของสงฆ์ฝ่ายอรัญญิกาวาสเท่าน้ัน  พระภิกษุสงฆ์ฝ่ายคามวาสีที่อยู่ในบ้านเมืองวัดวาอารามก็ถือธุดงค์ได้ พระภิกษุสงฆ์ทุกองค์ควรหาโอกาสถือธุดงค์ให้ได้สักครั้ง  เป็นการเดินทางตามรอยบาทพระพุทธองค์ ผู้เป็นบรมครูของเราทั้งหลาย  พระพุทธองค์ได้ทรงบัญญัติธุดงควัตรด้วยพระองค์เอง และพระองค์ก็ทรงปฎิบัติธุดงควัตรด้วยพระองค์เองทุกประการ พระองค์ทรงปฎิบัติมาครบถ้วนทุกประการ ทรงเห็นผลในการปฎิบัติธุดงค์ว่าเป็นเครื่องขัดเกลาอาสวะกิเลสให้สิ้นไป   การปฎิบัติธุดงค์เป็นการเดินทางอริยมรรค คือ มรรค ๘ จนกระทั่งได้บรรลุถึงพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ  การที่จะบรรลุอริยสัจธรรมได้  เป็นพระอริยบุคคลนั้นท่านล้วนต้องผ่านการถือธุดงควัตรมาก่อนแล้วทั้งสิ้น  สุดแต่ใครจะถือธุดงค์ข้อใด  อย่างใดก็แล้วแต่อัธยาศัยของผู้นั้น   สุดแต่วาสนาบารมีที่เคยสร้างมา  พระอริยสาวกทุกรูปก็ได้ถือปฎิบัติ ผ่านการธุดงค์มาแล้วทั้งสิ้น เพราะธุดงค์วัตรเป็นเครื่องมือสำหรับปฎิบัติฝึกฝนอบรมใจให้เบาบางจากกิเลส การจะก้าวขึ้นสู่พระอริยบุคคลชั้นโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล ชั้นอนาคามิมรรค อนาคามีผล ชั้นสกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล พระอรหัตตมรรค พระอรหัตตผล ทั้ง๘ ชั้นนี้ ต้องผ่านการต่อสู้กับกิเลสอาสวะมาแล้วอย่างโชกโชน  คู่ต่อสู้ก็คือการถือปฎิบัติธุดงควัตร ถ้าไม่ถือธุดงควัตร ถึงจะเรียนจบพระไตรปิฎกมหาเปรียญ ๙ ประโยค เป็นนักปราชญ์ทางศาสนา ก็เป็นนักปราชญ์คัมภีร์เท่านั้น  รู้เพียงตามตำรา ยังไม่เข้าใจธรรมะที่ลึกซึ้งทางใจเลย 

     ธุดงควัตรนั้น  พระบรมศาสดาได้ทรงบัญญัติไว้ถึง  ๑๓ ประการคือ
     ๑. ถือแต่ผ้าบังสกุลเป็นวัตร ผ้าอื่นไม่ใช้นุ่งห่มอย่างหนึ่ง
     ๒. ถือแต่ผ้าไตรจีวรสามผืนเป็นวัตร ไม่ใช้ผ้าเกิน   ๓ ผืนอย่างหนึ่ง
     ๓ ถือท่องเที่ยวบิณฑบาตรเป็นวัตร ไม่ขาดไม่เว้นอย่างหนึ่ง 
     ๔ ถือบิณฑบาตรบ้านเดียว แถวเดียวเป็นวัตร ไม่บิณฑบาตรบ้านอื่นแถวอื่นอย่างหนึ่ง
     ๕. ถือบริโภคอาหารอาสน์เดียวเป็นวัตร ไม่บริโภคอีกเมื่อลุกจากที่นั่งแล้วอย่างหนึ่ง  
     ๖. ถือบริโภคอาหารแต่ในบาตรที่บิณฑบาตรได้เป็นวัตร ไม่บริโภคอาหารที่มิได้บิณฑบาตรมาอย่างหนึ่ง 
     ๗. ถือบริโภคอาหารแต่บิณฑบาตรได้มาเป็นวัตร  ไม่บริโภคอาหารที่ไม่ได้บิณฑบาตรมาอย่างหนึ่ง
     ๘. ถือเอาการอยู่ป่าเป็นวัตร ไม่อยู่บ้านเมืองอย่างหนึ่ง
     ๙. ถือเอาการอยู่โคนไม้เป็นวัตร ไม่อยู่กุฎิที่มุงหลังคาอย่างหนึ่ง
     ๑๐.ถือเอาการปักกลดอยู่กลางแจ้งเป็นวัตร ไม่อยู่ในโรงเรือนอย่างหนึ่ง
     ๑๑. ถือเอาการอยู่ป่าช้าเป็นวัตร ไม่อยู่ในที่อื่นอย่างหนึ่ง
     ๑๒. ถือเอาการอยู่ในเสนาสนะที่ท่านจัดไว้ให้อยู่อย่างไรก็อยู่อย่างนั้น  ไม่อยู่ในที่อื่นอย่างหนึ่ง
     ๑๓. ถือเอาการนั่งเป็นวัตร ไม่นอนอย่างหนึ่ง
     ธุดงควัตรทั้ง ๑๓ ประการนี้ ท่านเรียกว่า ตทังคธุดงค์ แปลว่าองค์แห่งธุดงค์ ๑๓ ประการ เป็นข้อปฎิบัติอย่างยิ่งยวดสำหรับฝึกฝนอบรมจิตให้เบาบางห่างไกลจากกิเลสตัณหาราคะทั้งหลาย  แม้จะลำบากยากเย็นอย่างไรก็ต้องถือปฎิบัติให้ได้ครบถ้วนตามกำหนดเวลาที่ตั้งจิตอธิษฐานไว้  ฝนจะตก น้ำ่จะท่วม ุ ยุงหรือมดจะกวนอย่างไรก็ต้องอยู่ให้ครบกำหนด  แม้จะถึงชีวิตร่างกาย เช่น เสือจะมากิน  ช้างจะมาแทง ก็ต้องอยู่ในกลดนั้นจะหลีกหนีไปอยู่ที่อื่นไม่ได้เป็นอันขาด  เหมือนดังที่พระพุทธองค์ทรงตั้งสัตย์อธิษฐานว่าตราบใดยังมิได้ตรัสรู้ธรรมอันวิเศษจะไม่ยอมลุกจากพระอาสน์ที่ตรัสรู้ ฉนั้น  การตั้งจิตอธิษฐานเช่นนี้  เป็นการกระทำที่อาจหาญมั่นคง ไม่คำนึงถึงชีวิตและร่างกายจะแตกดับเรียกว่า เสียชีพไม่ยอมเสียสัตย์  ไม่ใช่แต่เพียงการอธิษฐานเพื่อให้จิตมั่นคงไม่หวั่นไหวเท่านั้น  ต้องบำเพ็ญเพียรภาวนาทางจิตวิปัสสนากรรมฐานไปด้วย ตลอดเวลานั้น 

     การออกท่องเที่ยวธุดงค์นั้น  ไม่ใช่การเดินชมนกชมไม้ ไม่ใช่การเดินทางท่องเที่ยวไปเฉยๆ  หรือเดินทางเพื่อแสวงหาลาภสักการะ แต่ต้องเป็นการเดินทางเพื่อฝึกฝนอบรมตนตามแนวทางธุดงควัตร ๑๓ ประการเท่าน้ัน  จะเลือกปฎิบัติข้อใดก็สุดแล้วแต่อัธยาศัยใจสมัคร  ตามกำลังศรัทธาของตน  แต่ต้องเลือกมาถือปฎิบัติอย่างน้อย ๑ ข้อที่เหมาะสมกับอุปนิสัยของตน  การเดินธุดงค์นั้นย่อมมีโอกาสไดปฎิบัติวัตรได้มากข้อ เช่น ๑.ปักกลดอยู่กลางแจ้งเป็นวัตร เมื่อเดินทางถึงถิ่นไหนตำบลไหน จะหยุดพักก็ปักกลดอธิษฐานการปักกลดอยู่กลางแจ้งตลอดกาล ๑ ราตรี หรือ ๓ ราตรีสุดแล้วแต่สะดวก เมื่อปักกลดลง ณ ที่ใดแล้ว จะถอยกลดไม่ได้จนครบกำหนดที่ตั้งสัตย์อธิษฐานไว้ ฝนจะตก เสือจะดุ ช้างจะมาเป็นโขลง ก็ถอนกลดหนีไม่ได้เลยเป็นอันขาด ๒. ถือเอาการบิณฑบาตรบ้านเดียวแถวเดียวเป็นวัตร ไม่ไปบิณฑบาตรบ้านอื่นแถวอื่น ๓. ถือเอาการฉันอาหารอาสน์เดียวเป็นวัตร เมื่อลุกจากที่นั่งแล้วก็ไม่ฉันอาหารอีกตลอดกาลวันนั้น คือฉันอาหารหนเดียวเท่านั้น ๔. ถือเอาการฉันอาหารในบาตรเป็นวัตร อาหารนอกบาตรไม่ฉัน อาหารคาวหวาน เค็ม เผ็ด ก็รวมฉันในบาตรเท่านั้น ๕. ถือเอาการห่มผ้าไตรจีวร ๓ ผืนเป็นวัตร ไม่ใช้ผ้าอื่นอีก แม้จะหนาวหรือผ้าจะเปียกก็ไม่เปลี่ยนใช้ผ้าอื่นอีก ๗. ถือเอาแต่อาหารที่บิณฑบาตรได้มาเป็นวัตร  ไม่ฉันอาหารอื่นที่มีผู้ถวายภายหลังบิณฑบาตรอีก 

     การธุดงค์นี้เป็นการบังคับใจตนเอง เป็นการฝึกฝนอบรมจิตใจตนเองด้วยการปฎิบัติ ผลจะเกิดแก่ใจตนเองนานาประการ การเดินธุดงค์นี้ ถ้าถือสัตย์มั่นคง ไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่กริ่งเกรงภัยอันตรายใดใด ยึดเอาพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เป็นที่พึ่งให้มั่นคง  เสือช้างผีสางทั้งหลายย่อมยำเกรง ไม่มากร่ำกราย  เรื่องอดอยากก็ไม่ต้องกลัว ลูกพระตถาคตไม่เคยอดตายเลย ตลอดเวลา ๒๕๐๐ ปีเศษ ลูกพระตถาคตไม่เคยอดตายเลย อย่างร้ายแรงก็กินลูกไม้ในป่าได้ ถ้ามีศีลสัตย์มั่นคง จะกินลูกไม้ในป่าไม่ถึง ๓ วัน จะมีคนมาถวายภัตตาหารให้ลูกพระตถาคตเสมอ ให้อธิษฐานถึงคุณศีลที่ได้รักษา อธิษฐานถึงสัตย์ที่ได้ดำรง  อธิษฐานถึงคุณพระพุทธองค์ผู้บิดาของลูกพระตถาคต อธิษฐานถึงธรรมที่ประจักษ์แจ้งในใจ  อธิษฐานถึงคุณพระอริยสงฆ์ที่ดำรงสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา รุ่งเช้าให้มุ่งหน้าไปทางทิศที่ควรจะไป จะได้พบผู้ใจบุญมาตักบาตรทำบุญ  เห็นผู้คนก็อย่าถามทัก อย่านึกในทางลามก ให้รับบิณฑบาตร และสวดอุทิศบุญกุศลให้แก่เขา  ฉันข้าวเขาแล้ว ก็ต้องยถาสัพพี กรวดน้ำแผ่ส่วนบุญให้แก่สรรพสัตว์ทั่วหน้า  บางทีผู้ที่มาตักบาตรแก่เรานั้นก็ไม่ใช่คนธรรมดา เขาเป็นเทวารักษ์กุมเทวดา หรือรุกขเทวดา อยู่ในป่านั้นๆ  

     หลวงพ่อทา  ท่านอบรมสั่งสอนรอบคอบหลายเรื่อง เพราะท่านเป็นพระนักปฎิบัติ ท่านปฎิบัติมาด้วยตนเองจนมีผู้คนเคารพกราบไหว้ท่านทั้งบ้านทั้งเมือง  คำอบรมสั่งสอนของท่านทำให่เกิดความมั่นใจและรื่นเริงในการเดินธุดงค์ในครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง  
    หลวงพ่อแช่ม จึงเตรียมไตรจีวร เครื่องอัฐบริขารครบ แล้วก็ออกเดินทางแบกกลด สะพายบาตรไปแต่องค์เดียว มุ่งหน้าเข้าป่าเมืองกาญจน์ ในฤดูแล้งเดือนอ้ายปีนั้น เหมือนนกที่บินออกจากกรง เข้าสู่ป่า เหมือนนกขมิ้นเหลืองอ่อน ค่ำไหนนอนนั่น  


(โปรดติดตามตอนต่อไป)
     

วันอังคารที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2560

หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง (ตอน ไปไหว้แผ่นพระบาท)

ไปไหว้พระบาท

    พระพุทธบาท จังหวัดสระบุรีเป็นอีกแห่งที่คนไทยนับถือกันมาแต่โบราณว่าเป็นรอยพระบาทที่พระพุทธองค์เสด็จมาประทับรอยพระบาทไว้บนไหล่เขา  เพื่อเป็นเครื่องหมายนิมิตว่า พระพุทธองค์เคยเสด็จมาถึงที่น้ัน  แล้วประทับรอยพระบาทไว้สำหรับสาธุชนเคารพบูชา  อันรอยพระบาทน้ันท่านว่ามีรูปลักษณะอันเป็นมงคล ๑๐๘ ประการ  หากใครได้เคารพบูชาจะเกิดสวัสดิมงคลแก่ชีวิต  ผู้กราบไหว้จะได้เดินตามรอยพระยุคลบาทไๆปสู่สวรรค์นิพพานในภายภาคหน้า   ไม่หลงทางไปสู่ประตูอบายภูมิ คือไม่ต้องเกิดเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย  และสัตว์เดรัจฉาน ๔ ภูมินี้  อย่างต่ำจะได้เกิดเป็นมนุษย์  อย่างสูงจะได้เกิดเป็นพรหมในสวรรค์ช้้นพรหม ๑๖ ช้้น

     ความนิยมเชื่อถือ ศรัทธาของศาสนิกชนว่าคนไปนมัสการพระพุทธบาทเป็นบุญกุศลนั้นสืบเนื่องมาไม่ขาด  จนถึงรัชกาลที่ ๔ ก็เสด็จไปนมัสการ   รัชกาลที่ ๕ ก็เสด็จไปร่ายรำ-เพลงอาวุธบนหลังช้างถวาย  ตามธรรมเนียมโบราณขัติยราชประเพณี  ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินใครมีกำลังไปได้ก็พยายามเดินทางไปนมัสการกัน ทั้งคฤหัสถ์ชายหญิงและพระสงฆ์องค์เจ้า 

     หลวงพ่อแช่มก็ได้เดินทางไปนมัสการพระพุทธบาทตามประเพณี สมัยที่หลวงพ่อแช๋มไปนมัสการนั้น ตกในสมัยรัชกาลที่ ๕ สมัยน้ันรถรายังไม่มี  ถนนหนทางไม่มี ต้องเดินเท้า ขี่ม้า ขี่เกวียนกันท้ังสิ้น คนต่างบ้านต่างเมืองไปกันลำบาก ต้องนอนค้างอ้างแรมกันหลายคืน  กระนั้นก็อุตส่าห์บากบั่นกนัไปมากมาย ทั้งพระเณร ประสกสีกา พระก็ไปปักกลดอยู่รอบๆบริเวณเขาพระพุทธบาท กลดเกลื่อนไปดูเหมือนดอกเห็ดในฤดูฝน  ระหว่างทางนั้นมีบรรดายาจกวณิพกทั้งหลาย ทั้งง่อยเปลี้ยเสียขา ตาบอด เป็นโรคเรื้อนก็มีมาก  พากันมานั้่งขอทานอยู่เกลื่อนไป  หลวงพ่อแช่มได้เห็นคนขอทานแล้วก็คิดถึงความหลังคร้ังที่ท่านเที่ยวขอทานอยู่  แล้วก็คิดว่าได้พ้นสภาพเช่นนั้นมาแล้ว  เราจะเป็นผู้สร้างบารมีเสียเอง เราจะไม่เป็นผู้รับ ซึ่งอยู่ต่ำกว่า เราจะเป็นผู้ให้ซึ่งอยู่สูงกว่า  
     หลวงพ่อแช่ม กลับจากไหว้พระบาทคราวนั้นก็ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ว่า เราบวชเป็นพระนี้ ต้องภิกขาจารข้าวสุกชาวบ้านเลี้ยงชีพตามประเพณีของบุตรพระตถาคต  เราจะให้อะไรแก่ชาวบ้านได้บ้าง นึกถึงพระพุทธองค์ เป็นชาติกษัตริย์ ก็สละหมดสิ้น  ออกบวชภิกขาจารเพื่อโปรดสัตว์โลก  ให้รู้จัการเสียสละ เพื่อสั่งสอนชาวโลกให้อยู่เย็นเป็นสุข  ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง  ไม่เบียดเบียนกัน เป็นทีพึ่งแก่สัตว์โลก  สัตว์โลกมิได้เป็นสุขเพราะทรัพย์ศฤงคารและอาหารเท่านั้น สัตว์โลกเป็นสุขเพราะสัตว์โลกมีจิตใจเป็นสุขด้วยสีลด้วยธรรม  พระขอข้าวเขาเลี้ยงชีพมิได้มาเพื่อสะสม เลี้ยงบุตรภรรยา  แต่เพื่อมีชีวิตอยู่เป็นที่พึ่งแก่สัตว์โลก  เพื่อดำรงศีลดำรงธรรมให้มีอยู่คู่โลกเท่านั้น  

    การดำรงศีลดำรงธรรม เพียงการรักษาศีล ๒๒๗ และสวดมนต์พอแล้วหรือ ?   เราจะต้องดำรงศีลดำรงธรรมให้ยิ่งกว่า มิฉนั้นเราจะเป็นหนี้ข้าวสุกชาวบ้าน  ชาติหน้าเราอาจจะต้องไปเกิดเป็นควายไถนาใช้หนี้ข้าวสุกเขาก็ได้  

     คิดได้เช่นนี้แล้ว  หลวงพ่อแช่มก็เกิดความขวนขวายที่จะดำรงศีลดำรงธรรมให้ยิ่งกว่าแต่ก่อน  นั่นคือการดำเนินตามรอยพระบาท 

    พระพุทธองค์ ลำดับแต่ได้ตรัสรู้  มิได้เสด็จประทับจำพรรษาอยู่ณ ทีเดียวตลอดกาล  พระองค์เสด็จจารึกสัญจรไปเผยแพร่พระธรรมวินัย  จนตลอดพระชนมายุ  แม้วันเสด็จปรินิพพาน ก็ยังโปรดสุภัททปริพาชก ให้สำเร็จพระอรหันต์ เคยตรัสสั่งพระสาวกว่า 

     "ดูก่อน  ภิกษุทั้งหลาย  เธอจงท่องเที่ยวไป  เพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชนในโลกนี้ อย่าไปสองคน  จงไปแต่คนเดียว  จงท่องเที่ยวไปอย่างโดดเดี่ยวเหมือนนอแรด..."
( โปรดติดตามตอนต่อไป)

วันอังคารที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2560

หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง (ตอน ไปบังคมพระแท่น)


ไปบังคมพระแท่น

     ความสุขสงบที่ได้รับจากการนมัสการพระปฐมเจดีย์ในวันเพ็ญเดือนสิบสองปีน้ัน ทำให้หลวงพ่อแช่มเกิดความคิดที่จะท่องเที่ยวธุดงค์อีก แต่ยังไม่มีจุดหมายปลายทางแน่นอนว่าจะไปถึงไหนดี  ประกอบกับยังมิได้รับอนุญาตจากพระอาจารย์  หลวงพ่อแช๋มจึงเดินทางกลับวัด
     เผอิญในเดือนสี่ปีนั้น มีคนพูดถึงเรื่องจะไปนมัสการพระแท่นดงรัง  ที่เมืองกาญจนบุรี  พระภิกษุสงฆ์ก็ชักชวนกันเดินธุดงค์ไปกันหลายองค์  หลวงพ่อแช่มจึงขออนุญาตอาจารย์เดินทางไปบ้าง หลวงพ่อทาก็อนุญาต ซ้ำยังกล่าวส่งเสริมว่า   พระแท่นดงรังนั้นเป็นสังเวชนียสถานที่ควรเดินทางไปนมัสการเพราะเป็นสถานที่เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานของพระพุทธองค์ อุบาสกอุบาสิกาที่อุตสาหะเดินทางไปนมัสการหนหนึ่ง จะได้บุญกุศลมาก  ปราศจากเสียซึ่งเวรภัยนานาประการ  ถ้าได้ไปนมัสการคร้ังที่สองก็จะปิดบังอบายภูมิเสียได้ ถึงตายก็จะไม่ตกนรก  ถ้าหากมีความอุตสาหะพยายามเดินทางไปนมัสการได้สามคร้ัง ก็จะได้สวรรค์วิมานอันเป็นสุขในภพหน้า   ส่วนพระสงฆ์น้ันถ้าใครเดินทางไปนมัสการหนหนึ่ง ก็จะได้บวชทนไม่รนสึกออกมาหาความทุกข์ในโลกนี้   ถ้าไปนมัสการได้สองหนก็จะบวชอยู่จนตลอดชีวิต   ถ้าไปนมัสการได้สามคร้ังก็จะเจริญทางธรรม   บำเพ็ญสมถวิปัสสนา เข้าสู่กระแสโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล  เป็นพระอริยบุคคลตามแต่บุญวาสนาของตนที่ได้สั่งสมมาแต่ชาติปางก่อน   แต่สำหรับคนที่ยังมีกิเลสหยาบบาปหนา จะไม่มีบุญตาบุญใจได้ไปนมัสการพระแท่น 

     ความเชื่อของคนโบราณเช่นนี้ก็มีเหตุผลอยู่ เพราะการไปนมัสการพระแท่นดงรังนั้น ผู้เดินทางต้องใช้ความวิริยะอุตสาหะมาก มีความตั้งใจมั่นคงเพราะระยะทางไกล การคมนาคมไม่สะดวก  ต้องเดินทางด้วยเท้าเปล่า บุกป่าผ่าดงไปด้วยความลำบาก  สมัยก่อนการเดินทางไปนมัสการพระแทาานดงรังต้องเดินทางค้างแรมในระหว่างทางหลายคืน  ต้องใช้เกวียนบรรทุกสัมภาระเสบียงอาหารไปกินอยู่ระหว่างทาง   เล่ากันว่า ต้องเดินทางแรมคืนไปกลับประมาณ ๙ วัน ๑๐ คืน   คนที่ไม่มีความอุตสาหะจริงๆ จะไม่ได้ไป  และคนที่ไม่หนหนึ่งแล้วก็จะไม่ย่อท้อต่อความลำบากเลย  ยังบากบั่นไปอีกเป็นคร้ังที่สองที่สาม ด้วยความศรัทธากล้าหาญในการบุญกุศล  

     ที่ท่านเชื่อว่า  พระภิกษุสงฆ์ที่อุตสาหะเดินทางไปนมัสการพระแท่นดงรังถึง ๓ ครั้ง จะได้บรรลุกระแสธรรมชั้นโสดาปัตติมรรค หรือโสดาปัตติผลนั้น ก็มีเหตุผลน่าคิดอยู่  เพียงแต่เดินทางธุดงค์ไปนมัสการพระปฐมเจดีย์ในคืนเพ็ญหนเดียว   หลวงพ่อแช่มยังน้อมนำใจให้ปฎิญาณตนว่า จะถึงซื่งพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งจนตลอดชีวิตจนกว่าจะถึงพระนิพพาน   พระแท่นดงรังนั้นถือว่าเป็นพระแท่นไสยาสน์เสด็จดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพานซึ่งก็น้อมนำใจให้ผู้ที่ทอดทัศนาเกิดธรรมสังเวชอันสูงสุด  จนมองเห็นอรรถเห็นธรรม เปรียบดังสวะอันลอยเลื่อนไหลไปตามกระแสน้ำฉันน้ัน  

     การเดินทางไปนมัสการพระแท่นดงรัง มักไปกันในฤดูแล้งระหว่างเดือนสามกะเวลาให้ไปถึงพระแท่นก่อนวันเพ็ญเดือนสาม เทศกาลนมัสการพรแท่นเริ่มแต่วันเพ็ญเดือนสาม ถือกันว่าเป็นวันถวายพระเพลิงพระพุทธเจ้า 

     ปีน้ันพระภิกษุวัดพะเนียงแตก เดินทางธุดงค์ไปพระแท่นหลายองค์ด้วยกัน  เตรียมเครื่องอัฐบริขารพร้อม บาตรกลดขาดไม่ได้  ออกเดินทางเมื่อข้างขึ้นอ่อนๆ เดือนสาม ประมาณ ๙ ค่ำ จะได้อาศัยแสงเดือนในเวลากลางคืน ไม่มืดนักในเวลาพักแรม จากตำบลพะเนียงแตก ผ่านตำบลตาก้อง  ตำบลห้วยขวาง ลาดหญ้าไทร หนองปลาไหล รางพิกุล  ผ่านเมืองโบราณที่ท่าวแสนปมเคยตั้งบ้านเรือนอยู่สมัยหนึ่ง  เมื่อได้อยู่กับลูกสาวท้าวอู่ทอง 

     พักที่บ้านรางพิกุลคืนหนึ่ง  แล้วก็ต่อไปหนองโพธิ์ เข้าตำบลท่าผา   พักที่ลูกแก บ้านทวน ท่ามะกา  แล้วก็ถึงท่าเรือ   แล้วเข้าเขตพระแท่นดงรัง  การเดินทางธุดงค์ครั้งนี้ต้องพักระหว่างทางถึง ๓ คืน ๔ วัน  จึงถึงพระแท่นดงรัง ระหว่างทางได้ปักกลดใกล้บริเวณหมู่บ้าน ธรรมเนียมที่ถือกันเคร่งครัดในสมัยน้ันคือพระธุดงค์จะไม่ปักกลดบริเวณหมู่บ้านคน  ไม่ปักใต้ต้นไม้ใหญ่ หรือใกล้ศาลเจ้า  เพราะต้นไม้ใหญ่ใบหนา เช่นต้นกร่าง ไม่เป็นที่สงบ  ใบของมันถูกลมพัดกวัดไกวเสียงดังกร่างกราวอยู่ตลอดเวลา และเป็นที่อาศัยของสัตว์ต่างๆ เช่น ลิงค่าง ตุ๊กแก ตะกวด งูเหลือม และเหี้ย เป็นต้น  ไม่เหมาะแก่การบำเพ็ญสมณธรรม  ส่วนศาลเจ้านั้นชาวบ้านนับถือว่ามีเทวดาอาศัยอยู่ ย่อมไม่เป็นการสมควรแก่สมณเพศซึ่งเป็นอุดมเพศ  ทำเลนั้นต้องไม่ลุ่มต่ำเวลาฝนตกน้ำขัง ไม่ใกล้จอมปลวกหรือรังมดดำมดแดง  ไม่ทับทางเกวียนหรือทางเดินของคนที่สัญจรไปมา ไม่อยู่ตรงทางสามแยก  เมื่อเลือกชัยภูมิที่ปักกลดแล้วก็จะต้องอยู่ตรงน้ันตลอดคืนจะเคลื่อนย้ายไปไหนอีกไม่ได้เป็นอันขาดแม้จะมีฝนตก  ฟ้าร้อง มดจะกัด เสือช้างจะเข้ามาก็หนีไม่ได้เลย   การปลักกลดนั้นถ้ามีเพื่อนพระภิกษุร่วมทางไปด้วยก็มีข้อห้ามว่า มิให้ปักกลดชิดกันประมาณ ๒๐ วา  พอตะโกนเรียกกันได้ยินเพราะการปักกลดใกล้กันก็จะอดคุยกันไม่ได้ ทำให้มิได้บำเพ็ญสมณธรรม  

     อนึ่ง ระหว่างเดินทางก็ดี ปักกลดก็ดี ออกบิณฑบาตรก็ดี  ห้ามมิให้คิดเรื่องลามก ห้ามมิให้พูดคำลามก เห็นสตรีสาวสวยมาตักบาตร จะนึกกำหนัดในเชิงราคะก็ไม่ได้  ให้สะกดกลั้นห้ามใจตนด้วยอาณาปานสติภาวนา  กำหนดลมหายใจเข้าออก เห็นสัตว์เช่นลิงเสพสังวาสกัน ก็ให้ทำใจให้ปรกติอยู่ในสมาธิภาวนา ห้ามมิให้เพ่งมองด้วยความกำหนัดยินดี  เห็นต้นไม้ใหญ่ครึ้ม เห็นศาลเจ้าแห่งใด  ก็ให้แผ่เมตตาส่งกระแสจิตให้เทวดาแห่งนั้นๆ   จงอยู่เป็นสุข ห้ามมิให้นึกหรือกล่าวคำดูหมิ่นดูแคลน   เห็นสุนัขเห่าหรือควายไล่จะขวิด ก็ให้แผ่เมตตาด้วยพระคาถา   ห้ามมิให้ด่าว่าหรือโกรธเคือง  มิฉนั้นตกกลางคืนจะมีภัยมารบกวนถึงตัว เช่น เสือ  เดินวนเวียนมาใกล้กลด  หรืออาจทำอันตรายได้ ช้างก็อาจจะมาจับกลดกระชากเสีย แม้แต่มดก็จะเข้ามารบกวนจนไม่ได้หลับได้นอน  พระสงฆ์ฺที่เดินธุดงค์จะต้องเรียนรู้เรื่องเหล่านี้จากพระอาจารย์ และต้องถือปฎิบัติโดยเคร่งครัด  จะเผลอเรอมิได้เลยเป็นอันขาด  เพราะการเดินป่านั้นต้องระวังรักษาตัวเองตลอดเวลา  บางทีก็อาจเดินหลงทางวนเวียนอยู่ในป่า  หาทางออกไม่ได้ ต้องอดข้าวอดน้ำอยู่หลายวันด้วยถนนหนทางเครื่องหมายบอกสิ่งใดไม่มีเลย  พระภิกษุที่เดินธุดงค์บางองค์ก็ถูกควายไล่ขวิด  ถูกมดยกโขยงมากัด หรือเดินหลงทางอยู่ในป่ากันมามาก และพระธุดงค์
เหล่าน้ันก็ต้องสารภาพกับอาจารย์ว่าได้ล่วงละเมิดกฎที่ตั้งไว้  แต่พระสงฆ์ที่สำรวมกายวาจาใจอยู่เสมอ  บำเพ็ญเพียรภาวนาอยู่ทุกขณะนั้น  ปลอดภัยจากอันตรายทุกประการ   

     ตกกลางคืนต้องสวดมนต์ภาวนา  สรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ สวดบทพาหุง สวดบทพระอรหังแปดทิศ สวดบทกรณีเมตตสูตร  แผ่เมตตาแก่สรรพสัตว์ท้ังหลาย แล้วเจริญสมถภาวนา  กระทำสมาธิให้เกิด แล้วจึงจะหลับนอนได้  ต้องถือปฎิบัติเช่นนี้ทุกคืนเว้นไม่ได้   แถมท้ายด้วยบทอิมินา กรวดน้ำ  อุทิศส่วนบุญกุศลให้เทวดา ผีสาง บิดา มารดา ครูอาจารย์ ตลอดจนผู้กระทำทานให้ข้าวน้ำแก่ตนจนทั้วหน้า

     ก่อนจะถอนกลดออกเดินทางต่อไปน้ัน  ก็จะต้องเก็บกวาดให้เรียบร้อย  ไม่ทิ้งเศษอาหารไว้ให้สกปรก  ถือว่าสถานที่ตรงน้ัน ลูกพระตถาคตดได้มาอยู่อาศัยเป็นสุขชั่วคืนหนึ่งจะต้องไม่ทำบาปลามกไว้ให้รกแผ่นดินน้ัน  ข้อสำคัญคือกองไฟ  พระธุดงค์จะต้องไม่ก่อไฟผิงหรือหุงต้มสิ่งใด เพราะการก่อไฟจะทำให้สัตว์เล็กๆเช่น มด มอด หรือแมลงเม่าตาย  พระธุดงค์จะฉันแต่อาหารบิณฑบาตมาได้เท่านั้น  น้ำก็ดื่มแต่น้ำเย็นที่กรองแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องก่อกองไฟหุงต้มอะไร   หนาวก็ก่อไฟผิงไม่ได้  

     พระแท่นดงรังนี้ นับถือกันมาแต่โบราณกาลว่า  เป็นปูชนียสถานศักดิ์สิทธิ์ ใครมีกำลังบุญวาสนาแล้ว จะต้องพยายามไปนมัสการให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต  ถึงใครจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งสงสัยคลางแคลงใจอย่างไรก็ยังพยายามไปนมัสการ   เพื่อจะเกิดบุญกุศลขึ้น จึงมีผู้คนไปนมัสการพระแท่นดงรังกันท้ังพระภิกษุ สามเณร ผู้ดี เจ้านายผู้รู้ นักปราชญ์และผู้สูงศักดิ์ในแผ่นดิน  ก็ได้เสด็จดำเนินไปนมัสการดังเช่นพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จไปนมัสการเมื่อ พ.ศ.๒๔๐๒  พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จไปนมัสการเมื่อ พ.ศ.๒๔๐๘  พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินไปประทับแรมและสมโภชพระแท่นดงรังเมื่อวันที่ ๒๒ มกราคม พ.ศ.๒๔๒๑

     สุนทรภู่ก็ได้ไปนมัสการพระแท่นดงรัง ภายหลังจากนั้น ๙ ปีท่านบวชอยู่วัดเทพธิดา เดินทางไปนมัสการพระแท่นเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม พ.ศ.๒๓๘๘  พร้อมด้วยสามเณรกลั่น  หนูพัดและหนูตาบ 

     พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์เล่าเรื่องพระแท่นดงรังไว้ว่า 

     "วิหารที่พระแท่นตั้งอยู่นั้น  เป็นเขาเทือกเดียวกันกับเขาถวายพระเพลิงเชิงเขานั้น  ตกราบลงมาสูงกว่าพื้นดินข้างล่างหน่อยหนึ่ง มาถึงที่พระแท่นจึงเป็นเขาศิลากองยาวออกไป ที่ข้างล่างวิหารมีช่องศิลายาวประมาณ ๖ นิ้ว กว้าง ๔ นิ้ว หยั่งดูลึกสัก ๒ ศอก  ว่าเป็นที่บ้วนพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า ที่พระแท่นน้ันเป็นปลายของเทือกศิลาที่เขาน้ันยื่นออกมาก่อผนังทับ  คงเป็นศิลาเป็นแท่นสูงข้างหนึ่ง ต่ำข้างหนึ่ง  ข้างสูงนั้นวัดได้ศอกคืบ  ยังมีสูงขึ้นไปอีกเหมือนเป็นหมอน  กว้างสักคืบเศษ  สูงคืบหนึ่ง  ข้างล่างสูง ๑ต นิ้ว  ยาว ๑๑ ศอกคืบ  ข้างบนกว้าง ๔ ศอกเศษ  ข้างล่าง ๓ ศอกเศษ  เป็นพื้นขรุขระอยู่  แต่เจ้าของปิดทองคำปั้นเป็นบัวรองไว้  พี้นกลางพระแท่นนั้นจะเป็นอย่างไรไม่เห็น  ด้วยผ้าที่ห่มนั้นคลุมสูงขึ้นไปสักศอกหนึ่ง ทำเป็นคล้ายๆรูปคนนอนคลุมหัว  เมื่อ ๑๒ ปีมาแล้ว  เราตามเสด็จทูลกระหม่อมมายังเด็ก พอเยี่ยมเข้าไป เห็นที่คลุมผ้าตกใจ นึกว่าศพอะไรคลุมอยู่ในนั้น"

      "แต่ธรรมดาคนไทยๆเรา มักจะถือการที่ขลังศักดิ์สิทธิ์ต่างๆมากกว่าที่ถือพระพุทธคุณโดยแท้  ถ้าเห็นเจดีย์ฐานแห่งใดไม่ขลังศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ใคร่จะนับถือ ถ้าแห่งใดมีคำเล่าลือว่าขลัง ศักดิ์สิทธิ์ ก็มักจะศรัทธามาก  เหมือนพระแท่นดงรังทีมีเรื่องราววิเศษต่างๆ หลายอย่าง  เรื่องหนึ่งว่าแขกคนหนึ่งขึ้นมาเที่ยว ว่าพระแท่นสบายน่านอนเล่น น่าอยู่  โลหิตออกจากปากจากจมูกตาย เรื่องหนึ่งว่า พระโอษฐ์นั้นถ้าเป็นตาแดงหยอดตาหายอย่างหนึ่ง  อีกอย่างหนึ่งว่าน้ำมันตามตะเกียง ทาบาดแผลอันใดหายหมด อย่างหนึ่งว่าหินบดน้ันถ้าบดใบไม้โตๆไม่ว่าอะไรถ้ากินเข้าไปเป็นยาทั้งสิ้น  อย่างหนึ่งว่านับขั้นบันไดที่ขึ้นเขาถวายเพลิงเท่าใด อายุผู้นั้นจะยืนไปเท่าขั้นบันไดที่นับนั้น อีกอย่างหนึ่งว่าถ้าผู้ใดเดินไปหลังมณฑปนั้นหน่อยหนึ่ง จะพบเมืองลับแลกลับมาไม่ได้  และต้นไม้ในฤดูแล้งใบไม้ก็ร่วงเห็นว่าเป็นต้นไม้เศร้าโศก  หญ้าก็แห้งงอเพราะร้องไห้สงสารพระพุทธเจ้า คำเล่าลือตื่นเต้นกันดังนี้หลายอย่าง นักพรรณนาไม่ถ้วน"

     พระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ ๕ ยังได้กล่าวถึงเรื่องการไหว้พระแท่นดงรังไว้อย่างนักปราชญ์ว่า 
     "ผู้ที่รู้อยู่ทั่วถึงจะไหว้กราบในที่มีพระพุทธรุป สถูป หรือสิ่งอื่นๆซึ่งเป็นเจดีย์ฐานหรือจะไหว้กราบในที่แจ้ง ในชายคาที่ไม่มีเจดีย์ฐานก็ดี  ต้องส่งใจระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้าแล้วไหว้กราบทุกครั้ง  ทุกคราว และพระแท่นดงรังนี้เล่าก็เป็นเจดีย์ฐานอันหนึ่ง ซึ่งควรจะส่งใจระลึกถึงพระพุทธเจ้าที่เสด็จปรินิพพานในเมืองกุสินารายณ์  ที่ป่ารังของมัลลกษัตริยื ก็เหมือนหนึ่งไหว้นมัสการในที่นั้นเหมือนกัน"

     หลวงพ่อแช่มกับเพื่อนภิกษุได้อุตส่าห์เดินธุดงค์ไปนมัสการพระแท่นดงรังคร้ันนั้นประมาณ พ.ศ.๒๔๒๕  ได้ไหว้สถานที่เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานของพระพุทธองค์  สถานที่ถวายเพลิงพระบรมสาสรีรกายของพระบรมครูแล้ว  ก็เกิดความปิติอิ่มเอิบใจ ได้ปลงธรรมสังเวช เกิดความสลดใจในธรรม  ว่าคนเกิดมาในโลกนี้แล้ว  ไม่ว่าไพร่ ผู้ดี มั่งมีหคือเข็ญใจ เจ้าฟ้าพระมหากษัตริยืผู้มีศักดานุภาพ  เป็นเจ้าชีวิตของคนท้ังหลาย  ก็ล้วนแต่ต้องพ่ายแพ้แก่พระยามัจจุราช  พระยามัจจุราชย่อมติดตามไปทุกหนทุกแห่ง  ถึงจะหนีไปอยู่ในถ้า ดำน้ำ ดำดิน  ก็ล้วนแต่หนีความตายไปไม่พ้น   ในที่สุดก็ต้องทอดทิ้งร่างกายไว้นอนเย็นชืดแข็งทื่อ  ขึ้นอืด เน่าพอง  ผุเปื่อยเป็นดินเป็นน้ำไป  ชีวิตทุกชีวิตเป็นเช่นนี้  ไม่มีผู้ใดมีอำนาจครอบครองเป็นเจ้าของชีวิตและร่างกายของตนเอง  ชีวิตไม่เที่ยงแท้ถาวร  ไม่ใช่ตัวตนเราเขา ชีวิตเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา  ดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้ ย่อมมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย  หมุนเวียนไปเช่นนี้ หมายหมื่นหลายแสนหน  จนกว่าจะได้ตรัสรู้ธรรมอันวิเศษ   สำเร็จพระอรหัตต์ตัดกิเลส  ละโลกนี้เสียได้ จึงจะไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในโอฆสงสารนี้อีก   แต่ในระหว่างบำเพ็ญบารมียังไม่ถึงซึ่งพระอรหัตตผลนั้น ทุกคนไม่ควรยึดมั่น ถือมั่นในชีวิตในทรัพย์สิน ในอำนาจ ในยศศักดิ์ ไม่ควรแก่งแย่งแข่งดี  ไม่ควรริษยา อาฆาต  ไม่ควรโลภ โกรธ หลงอะไร เพราะเมื่อถึงที่สุดหมดลมหายใจนั้น  อย่าว่าแต่เนื้อที่เพียงยาววาหนาคืบคือโลงศพ  หรือเสื้อผ้าที่ห่อหุ้มซากศพเราเลย  แม้แต่ซากศพก็ไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่ในโลก  เราเกิดมานี้มีบุญน้อยไม่ทันได้พบพระพุทธองค์ แต่เราก็มีบุญอยู่บ้าง  ที่เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา มีสติปัญญาเข้าใจคำสั่งสอนของพระองค์  เราดีใจที่ได้บวชอยู่ในร่มเงาศาสนาของพระองค์  ถึงจะยังไม่ได้บรรลุธรรมอันวิเศษในชาตินี้ ก็ตั้งใจอธิษฐานว่าเกิดชาติหน้า ภพหน้า ขอพบพระศาสนา พระศรีอริยเมตไตรย ที่จะมาตรัสรู้ในอนาคต เพื่อจะได้ฟังคำสั่งสอนของพระองค์ได้บรรลุธรรมอันวิเศษ  


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

     
     

วันพฤหัสบดีที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2560

หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง (ตอน ไปสักการะประปธม)



ไปสักการะพระปธม

     หลวงพ่อแช่มบวชมาถึงห้าพรรษา จิตใจกำลังแก่กล้า อาจหาญในทางธรรม จึงปรารถนาจะเดินธุดงค์ไปนมัสการพระปฐมเจดีย์ตามประเพณี ท่านจึงได้เดินทางธุดงค์ไปนมัสการพระปฐมเจดีย์ในเดือนสิบสองปีนั้น
เดินทางไปตามแบบพระธุดงค์ หยุดพักระหว่างทางเสียคืนหนึ่ง ไปถึงก็ปักกลดอยู่ในป่าสวดมนต์ภาวนา บำเพ็ญสมณธรรมในคืนวันเพ็ญเดือนสิบสอง อากาศหนาวเย็น พระจันทร์ส่องแสงสุกสว่างบนท้องฟ้า สาดแสงส่องต้ององค์พระปฐมเจดีย์สูงเด่นอยู่ เบื่้องหน้าแว่วเสียงมหรสพดนตรีลอยลมมาแต่ไกล ทำให้จิตใจเคลิ้มคิดไปถึงคร้ังพทุธกาลเนิ่นนานมากว่า ๒๔๐๐ ปี พระพุทธองค์ไ้ดทรงสละราชสมบัติ สละพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ สละบุตรภรรยา ข้าแผ่นดิน ออกบวชโดยเด็ดเดี่่ยว ทรงทรมานรพะวรกายอยู่ถึง ๖ ปี จึงได้บรรลุพระอริยสัจธรรม ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ออกเผยแพร่พระธรรมวินัยอยู่อีกถึง ๔๕ ปี ก็ทรงพระดำเนินด้วยพระบาทเปล่า ทรงฉันท์ข้าวของชาวบ้าน ทรงฉันน้ำในบ่อสระห้วยหนองและลำธาร ทรงบรรทมบนพื้นดินพื้นทราย มีแต่หญ้าและใบไม้รองพระวรกาย พระตถาคตก็เหมือนเราเวลานี้่

เรากำลังเดินทางตามรอยบาทพระพุทธองค์ ก็โอรสเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ยังถือปฎิบัติได้จนตลอดพระชนม์ชีพ นับประสาอะไรกับเราลูกชาวนายากไร้ เคยนอนกลางดินกินกลางทรายมาแต่อ้อนแต่ออกจะทำไม่ได้ จะทนไม่ได้เล่า พระพุทธองค์เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว ๒๔๐๐ ปีเศษ เราก็เป็นเชื่อสาสยพระตถาคต นำมาประพฤติปฎิบัติบ้าง ชีวิตก็จะมีแต่ความสุข สงบ เยือกเย็ฯ ห่างไกลจากไฟโลภ ไฟโกรธ ไฟราคะ อันเร่าร้อนเผาไหม้ ไปไหนก้มีแต่คนกราบไหว้บูชา ถวายข้าวปลาอาหาร ลูกพระตถาคตไม่เคยอดอยาก มีแต่ลาภทานสักการะ พระมหาเจดีย์ที่บรรจุรพะบรมธาตุ คนท้ังหลายก็หลั่งไหลกันมาบูชาสักการะ เราคิดไปแล้วก็ปลาบปลื้มใจ ที่เกิดมาเป็นมุนุษย์ได้พบพระพุทธศาสนา เราจะอุทิศชีวิตอยู่ในพระพุทธศาสนาไปกว่าชีวิตจะหาไม

หลวงพ่อแช่ม คิดไปก็เกิดความปิติอิ่มเอิบใจ จึงได้ตั้งจิตอธิษฐษน ต่อหน้าพระปฐมเจดีย์ กล่าวเป็นคำปฎิญาณว่า

"พทธัง ชีวิตัง ยาวะนิพพานัง สระณัง คัจฉามิ
ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระพุทธเจ้า เป็นที่พึ่งไปจนตลอดชีวิต กว่าจะถึงซึ่งพระนิพพาน
ธัมมัง ชีวิตัง ยาวะนิพานัง สระณัง คัจฉามิ
ข้าพเจ้าขอถึงซึงพระธรรม เป็นทีพึ่งไปจนตลอดชีวิต กว่าจะถึงถึงพระนิพพาน
สังฆัง ชีวิตัง ยาวะนิพพานัง สระณัง คัจฉามิ
ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระสงฆ์ เป็นที่พึ่งไปจนตลอดชีวิต กว่าจะถึงซึ่งพระนิพพาน"

(โปรดติดตามตอนต่อไป) 

หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง (ตอน พรรษาห้ากำลังหาญ)





พรรษาห้ากำลังหาญ

     พระบรมครูท่านตรัสสอนไว้ว่า มารชีวิตของคนเรานี้มีอยู่ ๕ ชนิด คือ กิเลสมาร ความโลภ โกรธ หลง เกิดขึ้นในจิตใจเราเอง, ขันธมาร คือร่างกายไม่สมประกอบ พิกลพิการ ง่อยเปลี่ย หรือหูหนวก เป็นใบ้ อยู่ที่ร่างกายเราเป็นอุปสรรคขวากหนามชีวิตของเรา, อภิสังขารมาร คือสิ่งที่มีอำนาจเหนือสังขารได้แก่ โรคภัยไข้เจ็บ และความแก่ชรา อยู่ห่างไกลจากนักปราชญ์ เกิดมาไม่ได้พบพระพุทธศาสนา, มัจจุราช คือความตาย , เทวบตรมาร คือ เจ้านายผู้เป็นใหญ่
สำหรับคนไทยเรา มีมารอีกชนิดหนึ่ง คือ มารศรี ได้แก่มารที่มีศิริ รูปร่าง ผิวพรรณสวยงาม

     ชีวิตหลวงพ่อแช่ม ก็ใช่จะปลอดโปร่งจากมาร ต้องผจญกับมารมาเหมือนกัน ที่ต้ังใจเด็ดเดี่ยวว่า ชาตินี้จะขอบวชจนตลอดชีวิต ขอฝากกายไว้ในร่มกาผ้ากาสาวพัสตร์ แต่เมื่อคิดถึงโยมบิดามารดา ก็วุ่นวายใจอยู่ไม่น้อย เพราะท่านทั้งสองก็แก่เฒ่าลงทุกวัน ลำบากยากจน การบวชนี้เหมือนกับเป็นการตัดช่องน้อยเอาตัวรอดเพียงคนเดียว บุญกุศลที่จะเกิดมีนั้นก็ไม่สามารุถจะช่วยให้มารดาเป็นสุขได้ การบวชเป็นการทอดทิ้งผู้บังเกิดเกล้าหรือเปล่า เราควรจะบวชต่อไปหรือสึกออกไปมีบุตรภรรยา ช่วยเลี้ยงโยมเมื่อชรา อย่างไหนจะถูกต้องกว่ากัน
     หลวงพ่อแช่ม คิดไปคลางแคลงใจไป วุ่นวายใจอยู่ เห็นหน้าโยมมารดาแล้วก็สงสารเกิดความคิดจะสึกออกไปช่วยโยมมารดาอยู่หลายหน แต่ก็ยังลังเล อยู่คิดไม่ตก
     ลองสมมุติดูว่า ถ้าลาสึกไปช่วยโยมมารดา จะช่วยได้เพียงใด และโยมมารดาเป็นคนขยัน ชอบทำงานมาตลอดต้ังแต่สาวจนแก่ ถึงจะสึกไปช่วยทำนาอีกแรง โยมมารดาก็คงไม่ยอมหยุดทำงา
     ความคิดที่ว่าจะสึกออกไปช่วยทำมาหากิน ก็คิดตกว่า จะไม่ช่วยได้จริงจัง อีกอย่างหนึ่งเล่า ชีวิตคนเราก็ไม่เที่ยงแท้แน่นอน ลูกอาจตายก่อนแม่ หรือแม่อาจตายก่อนลูก ก็ไม่แน่นอน ความคิดที่จะสึกออกไปช่วยโยมทำนาก็เป็นอันยุติด้วยการปลงเช่นนี้
     ตอนนั้น หลวงพ่อแช่่มไม่รู้หรอกว่า ความคิดที่จะสึกนั้นเป็นมารมาผจญ คือกิเลสมาร แต่หลวงพ่อแช่่มก็ผ่านมารชนิดน้ันมาได้ ด้วยอาศัยปัญญาหยั่งรู้ถึงสถาพความเป็นจริงของโลก

     มารที่มาผจญอีกเรื่อง คือมารศรี สตรีเพศ ทำให้พระสงฆ์องค์เจ้าผ้าเหลืองร้อนเปลื้องจึวรออกไปว่ายน้ำอยู่ในห้วงมหรรณพ  หลวงพ่อแช่ม ก็ใช่ว่าจะปลอดภัยแม้จะรูปร่างหน้าตาขี้ริ้ว มีลูกชาวบ้านคนหนึ่งเป็นสาวอายุมากแล้ว ฐานะมั่งคั่งแต่ยังไม่มีคู่ชิดเชย หมั่นเข้าวัดเข้าวาหมั่นมาทำบุญทำทานฟังศึลฟังธรรมอยู่เสมอ  หมั่นไปหมั่นมาแวะเวียนมาหาหลวงพ่อแช่มอยู่เสมอมิได้ขาด ตอนนั้นหลวงพ่อแช่มยังเป็นพระหนุ่ม วัยเบญเพศ ก็คิดเล่นๆในใจว่าหญิงคนนี้มีใจปฎิพัทธ์เสน่หาด้วย เพราะสายตากิริยาท่าทีก็บอกชัด หลวงพ่อแช่มเผลอใจคิดไปว่า ถ้าเราสึกออกไปแต่งงานกับหญิงคนนี้คงมีความสุขพอสมควร  ช่างเอาอกเอาใจ  กิริยาวาจาก็อ่อนหวาน แต่หลวงพ่อก็เอาชนะกิเลสมารนี้มาได้  ด้วยสติยั้งคิดพิจารณาถอยหน้าถอยหลัง เอาธรรมะเข้าข่มใจ ทำให้จิตใจอาจหาญมั่นคงอยู่ในพระพุทธศาสนาต่อมา  
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
tag

วันพุธที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง พรรษาสี่กำลังกล้า


พรรษาสี่กำลังกล้า

     มีคำพังเพยพูดกันในสมัยน้ันในวงการพระภิกษุว่า "พรรษาหนึ่งกำลังผ่อง  พรรษาสองกำลังงาม พรรษาสามกำลังดี พรรษาสี่กำลังกล้า พรรษาห้ากำลังแก่"  
     เพราะฉนั้นคนสมัยน้ัน ที่ไมคิดจะบวชจนตายในผ้าเหลือง  ก็มักจะสึกเมื่อล่วงพรรษาที่สาม แต่ถ้าอยู่ถึงพรรษาที่สี่แล้ว  ก็ว่าจิตใจกำลังแก่กล้าท่างธรรม ถ้าบวชอยู่ถึงห้าพรรษา ท่านว่ากำลังแก่ คือเริ่มจะแก่เสียแล้ว ความหมายเดิมท่านอาจจะหมายถึงจิตใจแก่กล้าหรือวิชาแก่กล้า  หรือแก่ทางธรรมะธัมโม  แต่พระที่บวชอยู่นั้นมักจะตีความไปทางแก่อายุ  สึกออกไปก็จะมีเมียล่า เป็๋นขี้ข้าลูก  คนสมัยนั้นจึงมักจะบวชกันเพียงสามพรรษา  แล้วก็ลาสึกออกไปมีครอบครัวกันเสียโดยมาก

     หลวงพ่อแช่ม  บวชมาจนครบสามพรรษาแล้ว   พระภิกษุเพื่อนฝูงรุ่นเดียวกันก็สึกออกไปเกือบหมด  พอสึกออกไปก็ไปมีลูกมียกันโดยมาก  พ่อแม่ของผู้หญิงเขาก็เต็มใจให้ลูกสาวแต่งงานกับ "บัณฑิตทางศาสนา" คือ ทิดสึกใหม่ เมื่อมีการพิธีแต่งงานทำบุญซัดน้ำ จะนิมนต์พระสงฆ์ไปสวดอวยชัยให้พร เมื่อเจ้าบ่าวเจ้าสาวทำบุญตักบาตรแล้ว พระฉันอาหารเสร็จ พระท่านจะทำน้ำมนต์ขันใหญ่  เจ้าบ่าวเจ้าสาวนั่งข้างหน้าหมู่พระสงฆ์ พระท่านจะตักน้ำมนต์สาดซัดไปที่ร่างของเจ้าบ่าวเจ้าสาว และพระสงฆ์ทั้งน้ันก็สวดชยันโตอวยพรให้พร ขันน้ำมนต์จะส่งเลื่อนไปให้พระองค์ถัดไปซัดน้ำจนครบ ๑๐ องค์ เจ้าบ่าวเจ้าสาวก็เปียกไปทั้งตัวเหมือนอาบน้ำมนต์  เขาจึงเรียกว่า ทำบุญซัดน้ำ    ไม่ใช่หลั่งน้ำพระพุทธมนต์ประสาทพรเป็นพิธี เป็นพิธีไทยแท้แต่โบราณ 

     หลวงพ่อแช่มเคยไปในพิธีสวดมนต์ทำบุญซัดน้ำอย่างนี้แล้ว ก็มานึกจินตนาการว่า "เนื้อคู่"  นั้นคืออะไร  หลวงพ่อแช่มมองเห็นเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่นั่งหมอบให้ซัดน้ำนั้นแล้ว ก็โปร่งแจ้งขึ้นในใจว่า คำว่า "เนื้อคู่"  ช่างเหมาะเจาะดีแท้ เพราะเนื้อหุ้มกระดูกคู่หนึ่งมานั่งหมอบก้มหน้าให้พระซัดน้ำนี้เอง  เนื้อก้อนหนึ่งเป็นเพศชาย  เนื้ออีกก้อนหนึ่งเป็นเพศหญิง  ก่อกำเนิดขึ้นคนละพ่อแม่  
     คำว่า "หนังคู่" คือหนังหุ้มกระดูกไว้ให้ดูเปล่งปลั่ง  ผุดผ่องสวยงาม แต่ภายใต้หนังคู่นี้มีอะไรเล่า  ถ้าไม่ใช่เลือดเนื้อเส้นเอ็น กระดูก  ร่างกายเรานี้สวยงามแต่ภายนอก  หลอกลวงคนเราให้หลงติดอยู่ให้หลงรักหลงชังอยู่เท่านั้น  ภายใต้หนังคู่นี้ ไม่มีอะไรน่าชื่นชมยินดีมีแต่เลือดเนื้อคูตมูตร สิ่งเน่าเหม็น รอวันแก่ชราและตายเท่าน้ัน 
    คำว่า "กระดูกคู่"  เป็นอีกคำหนึ่ง ที่ชอบพูดกันถึงคนที่เป็นคู่ผัวตัวเมียกันได้ยึดยาว  "เนื้อคู่-หนังคู่-กระดูกคู่"  นี้หลวงพ่อแช่มมองทะลุปรุโปร่งว่า กระดูกคู่นี้ก็เน่าเปื่อยผุพังเป็นดินในที่สุด ไม่มีอะไรเหลืออยู่ในโลก 

     เมื่อหลวงพ่อแช่ม คิดด้วยตาใจ ได้ธรรมจักษุเช่นนี้แล้ว หลวงพ่อแช่มก็นึกเบื่อหน่ายในชีวิตครองเรือน ไม่คิดจะสึกออกไปมีชีวิตคู่ครองเรือนเลย 
     ช่วงชีวิตทางสองแพร่งนี้ ที่ทำให้หลวงพ่อแช่มตัดสินใจว่าจะเลือกเดินทางชีวิตอย่างไร จะบวชอยู่ต่อไปหรือสึกไปครองเรือน แต่เผอิญหลวงพ่อแช่ม มีรูปร่างหน้าตาขี้ริ้ว ไม่มีเสน่ห์ชวนให้ผู้หญิงมาสนใจ แต่กลับเป็นคุณประโยชน์แก่การดำเนินชีวิต เพราะพระที่รูปหล่อนั้นมักบวชอยู่ในผ้าเหลืองได้ไม่นาน ไม่ทนอยู่จนตายในผ้าเหลืองเหมือนหลวงพ่อแช่ม   
     หลวงพ่อแช่ม กลับวัดแล้วก็ครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ นึกถึงพระเพื่อนฝูงที่สึกออกไปก็ไปทำนากันอยู่กลางแดด หลวงพ่อแช่มจึงตัดสินใจว่า ชีวิตนี้จะอยู่ในผ้าเหลืองตลอดชีวิต 

(โปรดติดตามตอนต่อไป)
     
    

วันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง (ตอน ป่าช้า ป่าดี)


ป่าช้า ป่าดี

     หลวงพ่อทา พระอุปัชฌาชย์ของหลวงพ่อแช่ม  เป็นพระสงฆ์สมัยโบราณ ท่านเข้าใจดีถึงชีวิตจิตใจระดับชาวบ้านว่าเชื่อผี กลัวผี ท่านรู้ดีว่า พระลูกวัดของท่านคือลูกชาวบ้าน ย่อมจะเชื่อเรื่องผีและกลัวผี ท่านจึงฝึกหัดพระของท่านให้กล้าผี 
     เริ่มแต่พรรษาแรกมาอยู่กับท่าน  ท่านสอนให้ปลงกรรมฐาน ทำนให้นั่งภาวนาพิจารณาให้เห็นกายในกายว่า ร่างกายของคนเรานี้ ไม่มีแก่นสารอะไร  ประกอบขึ้นหรือปรุงแต่งขึ้นด้วยอาการ ๓๒ ได้แก่ เกสา-ผม โลมา-ขน นะขา-เล็บ ทันตา-ฟัน ตะโจ-ผิวหนัง มังสัง-เนื้อ นหารู-เอ็น อัฐิ-กระดูก อัฐมิญชัง-เยื่อในกระดูก วักกัง-ม้าม หทยัง-หัวใจ ยกะนัง-ตับ กิโลมะกัง-พังผืด ปิหะกัง-ไต ปัปผาสัง-ปอด อันตัง-ไส้ใหญ่ อันตะคุนัง-ไส้น้อย อุทะริยัง-อาหารใหม่ กรีสัง-อาหารเก่า มัตถะลุงคัง-มันสมอง ปิตตัง-ดี เสมมัง-เสมหะ ปุพโพ-น้ำเหลือง โลหิตัง-เลือด เสโท-เหงื่อ เมโท-มัมชัน อัสสุ- น้ำตา วสา-มันเหลว เขโล-น้ำลาย สิงฆานิกา-น้ำมูก ละสิกา-น้ำไขข้อ มุตตัง-น้ำมูตร รวมเรียกว่า อาการ ๓๒ นี้ประกอบกันขึ้นเป็นร่างกายคน สัตว์ เราเขา เหมือนกันทุกรูปทุกนาม  ไม่ว่าหญิงว่าชายเด็กหรือผู้ใหญ่ ไพร่หรือผู้ดี มีหรือจน  อาการ ๓๒ เหล่านี้ เมื่อยังมีลมหายใจอยู่ ก็เคลื่อนไหวได้ ทำงานได้ พูดได้ กินได้ รู้สึกนึกคิดได้สารพัด  กระทำกรรมต่างๆ ได้ทางกายเรียกว่า กายกรรม ทางวาจาเรียกว่า วจีกรรม ทางใจเรียกว่า มโนกรรม ทำดี พูดดี คิดดี ก็เป็นบุญกุศล เป็นประโยชน์ต่อตนและผู้อื่น ถ้าทำชั่ว พูดชั่ว คิดชั่วก็เป็นบาปเป็นอกุศล  ทำลายตนและผู้อื่น แต่ท้ายที่สุดคนเราไม่ว่าคนดีคนชั่ว เกิดมาแล้วก็ไม่เที่ยงแท้ถาวรอยู่ค้ำฟ้า   เกิดมาแล้วก็เจริญเติบโต  เป็นหนุ่มสาว คร้ันแล้วก็แก่ชรา หูตาก็มืดมัว  ฟันก็ห่างหัก ผมก็หงอกขาว  ผิวพรรณก็เหี่ยวย่น  เหมือนผลไม้มะม่วงมีระยะเท่าหัวแมลงวัน  โตขึ้นเป็นมะม่วงขบเผาะ  เข้าไคล ดิบ แล้วก็ห่าม แก่ สุก แล้วก็งอม ไม่มีใครสอยก็ร่วงหล่นจากต้น  เน่าเปื่อยไป เหลือแต่เมล็ด สำหรับงอกขึ้นเป็นต้นมะม่วงต้นใหม่ต่อไป 

      ชีวิตคนเราก็เป็นเช่นนี้ทุกรูปทุกนาม  มีเกิด แก่ เจ็บ และตาย เมื่อสิ้นลมหายใจแล้ว ร่างกายก็เย็ฺนชืด แข็งทือ และเน่าอืด ขึ้นพองมีน้ำเหลืองน้ำหนองไหลส่งกลิ่นเหม็น ลูกเมียที่เคยรักใคร่อย่างสุดสวาทขาดใจ พอร่างกายเน่าเหม็นแล้วก็เกลียดกลัว  ต้องเอาไปฝังไปเผาเสียในป่าช้า  ต้องพลัดพรากจากกันไปชั่วชีวิต คนเราทุกคนก็ต้องเป็นเช่นนี้ในวันข้างหน้า  เราจะต้องตาย ต้องพลัดพรากจากลูกเมีย จากทรัพย์สมบัติที่เก็บหามาได้  เดินทางไปสู่โลกหน้าด้วยตัวคนเดียว ไม่มีอะไรติดตามตัวไปได้  มีแต่บุญกุศลที่ทำไว้เท่านั้น ทำไว้ต่างกันก็มีที่ไปต่างกัน  เพราะฉนั้นการที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนานี้นับว่าเป็นบุญกุศลยิ่ง  ยิ่งได้มาบวชในพระพุทธศาสนาก็นับว่าเกิดมาชาตินี้ไม่เสียที ขอให้ตั้งหน้าบำเพ็ญเพียรภาวนาไปด้วยความอุตสาหะหมั่นขยันพิจารณากายในกาย มองให้เห็นกายในกายว่า  ร่างกายเรานี้มีแต่ความผันแปรไม่เที่ยงแท้แน่นอนอยู่อย่างนี้  เราต้องแก่ ต้องเจ็บไข้ และท้ายที่สุดชีวิตทุกชีวิตก็ต้องพ่ายแพ้แก่โรคพยาธิต้องตายไปทุกชีวิต  เพราะเหตุดังนี้แหละสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจา พระบรมศาสดาของเรา จึงตรัสสอนไว้ว่า  ชีวิตเป็นอนิจจัง-ไม่เที่ยง ชีวิตเป็นทุกข์ด้วยโรคภัยไข้เจ็บ  ชีวิตเป็นอนัตตา-ไม่ใช่ตัวตนเราเขาที่จะดำรงอยู่ได้ตลอดกาล  
     
     หลวงพ่อทาสอนให้ปลงกรรมฐาน ให้พิจารณาภายในกายนี้เสมอๆ พิจารณาทุกวัน ทุกชั่วโมง  ทุกนาทีและทุกขณะจิต  โดยให้ภาวนา "เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ"   เวลาจะย่างก้าวไปบิณฑบาตรก็ดี จะนั่งก็ดี นอนก็ดี ยืนก็ดี ให้ภาวนาทั้ง ๕ คำนี้อยู่เสมอ ยิ่งกว่าน้ันยังให้หัดบำเพ็ญภาวนานั่งสมาธิ เพ่งพิจารณาภายในกาย ให้ถลกหนังตัวเองออก แล่เนื้อออกไปกองไว้ให้เหลือแต่โครงกระดูก ที่จะเน่าเปื่อยผุพังเป็นขุยละลายไปในดิน ท่านว่าให้ลองหัดตายเสียเนืองๆ เมื่อยังเป็นๆ ยังมีชีวิตอยู่  จะได้คุ้นเคยกับความตายเสียก่อนตาย 
     เวลาเขาหามผีมาฝังหรือเผาที่ป่าช้า  หลวงพ่อทาให้พระลูกวัดไปสวดศพเพ่งจิตบังสกุลให้คนตาย ท่านสอนว่าการชักบังสกุลให้เ่พ่งมองที่หน้าศพน้ันขณสวดบังสกุลด้วยบท "อนิจจา สตะ สังขารา-" ให้นึกปลงกรรมฐานไปด้วยในใจว่า "สังขารนี้ไม่เที่ยงหนอ มีความผันแปรไปดังนี้ เมื่อเกิดมาแล้ว ก็มีความป่วย มีความตายในที่สุด ความตายนี้แหละคือ ความสงบสุข"  การปลงกรรมฐานนี้ทำให้เบาบาง ปล่อยวางจากกิเลสตัณหา ลดความโลภ ความโกรธ ความหลง บรรเทากามราคะได้  การปลงกรรมฐานนี้จึงเป็นการทำบุญกุศลให้แก่ตนด้วยการปฎิบัติธรรม 

     หลวงพ่อทาท่านว่า  ป่าช้าเป็นป่าชั่วช้า เพราะเป็นป่าผี ป่าที่มีแต่ซากศพ แต่พระไปอยู่ป่าช้าแล้ว ก็เป็นป่าดี เป็นป่าแก้ว ป่าที่พระอยู่จึงเรียกว่าป่าแก้ว เป็นป่าที่สงบสงัด เป็นป่าที่แสวงธรรมของสาธุชน  เป็นป่าทีปฎิบัติธรรมของลูกพระตถาคต เป็นป่าที่บำเพ็ญสมณธรรมของพระอริยสงฆ์  
     แม้พระที่ศีลบริสุทธิ์ ท่านก็แนะนำให้ไปบำเพ็ญสมณธรรมในป่า ให้ปลงกรรมฐานในป่าช้า นั่งข้างๆหลุมศพที่ฝังใหม่ๆ เพ่งมองให้เห็นว่า ซากศพนั้นกำลังขึ้นพอง มีแต่น้ำเลือดน้ำเหลือง  เนื้อหนังเปื่อยเน่านอนอยู่อย่างโดดเดี่ยวในหลุมนั้น ชีวิตทุกชีวิตต้องจบลงเมื่อแผ่นดินกลบหน้าเช่นนี้ทุกคน  ไม่ว่าไพร่ ผู้ดี เศรษฐี ยาจก ชีวิตนี้้สั้นนัก จึงควรสันโดษพอใจในชีวิตที่เป็นอยู่มีอยู่  ไม่ทุจริตเบียดเบียนเพื่อนมนุษย์  ประกอบแต่การบุญกุศลไว้ 

       

วันพุธที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง (อุปัชฌาชย์เข้มงวดวิชา)


อุปัชฌาชย์เข้มงวดวิชา

     หลวงพ่อแช่ม บวชแล้วมิได้อยู่จำพรรษาที่วัดตาก้อง  ได้ติดตามพระอุปัชฌาชย์ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดพะเนียงแตก ตำบลบางแค อำเภอเมืองนครปฐม  ซึ่งมีชื่อว่า อำเภอพระปฐมเจดีย์ในสมัยก่อน  อุปัชฌาชย์ของหลวงพ่อแช่ม ชื่อพระครูอุตรการบดี (หลวงพ่อทา)  เป็นเจ้าอาวาสวัดพะเนียงแตก  และมีตำแหน่งเป็นเจ้าคณะแขวงเมืองนครปฐมด้วย   พระครูอุตรการบดีองค์นี้ ชาวบ้านรู้จักกันในนามหลวงพ่อทา* เป็นพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในสมัยน้ัน  มีคนรู้จักนับถือท่านมากตามตำบลใกล้เคียง ตลอดไปถึงต่างอำเภอ ต่างจังหวัด เช่น อำเภอนครชัยศรี อำเภอบางเลน จนถึงเมืองสุพรรณบุรี สมัยนั้นการคมนาคมยังไม่สะดวกรวดเร็วเหมือนสมัยนี้ พระอาจารย์ที่มีคนรู้จักนับถือไปจนถึงต่างบ้านต่างเมืองเช่นนี้ นับว่าโด่งดังมากทีเดียว   หลวงพ่อทาองค์นี้ มีสมญาเรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่า "หลวงพ่อเสือ"  เพราะท่านดุนัก คนทั่วไปกลัวกันมาก แม้พวกนักเลงใหญ่ๆ ก็กลัวท่าน สมัยนั้นยังมีกฎหมายที่เรียกว่า อาญาวัด ให้อำนาจแก่สมภารเจ้าอาวาสมีอำนาจลงโทษ จับกุม คุมขัง ข้าวัดหรือเลขวัดผู้ปฎิบัติพระสงฆ์ได้   คำว่า "สมโณครัว" ก็มาแต่ความหมายว่า "ครัวสงฆ์" นั่นเอง คือวัดหนึ่งต้องทำบัญชีคนในปกครองไว้  ตั้งแต่พระภิกษุสงฆ์ สามเณร เลขวัด และคนที่อาศัยวัดทั้งหมด คนเหล่านี้รวมเรียกว่า "สมโณครัว"  เมื่อมีการสำรวจพลเมืองทั่วประเทศภายหลัง จึงยืมคำนี้มาใช้ 
     พระครูอุตรการบดี(ทา) นี้ ท่านมีชื่อเสียงโด่งดังมากอยู่ระหว่างพ.ศ.๒๔๐๐- พ.ศ.๒๔๕๐ ท่านเป็นพระนักปฎิบัติ เชี่ยวชาญทางสมณกรรมฐานมีพลังจิตกล้าแข็ง  ท่านทำเครื่องรางของขลังไว้แจกเมื่อคราวสร้างโบสถ์วัดพะเนียงแตก
     หลวงพ่อทา เป็นพระนักปฎิบัติ เมื่อท่านยังหนุ่มท่านก็ชอบธุดงค์ไปตามป่าเขา เมื่อมีตำแหน่งเป็นสมภารเจ้าอาวาส ท่านก็ยังชอบเข้าป่า หลวงพ่อทาเป็นช่างและเป็นนักก่อสร้างอยู่ด้วย โบสถ์ ศาลาการเปรียญก็สร้างไว้ใหญ่โตกว้างขวาง สมัยน้ันมีพระบวชเก่า พระบวชใหม่ และพระจรมาอยู่ ปีหนึ่งไม่น้อยกว่า ๗๐-๘๐ องค์ วัดพะเนียงแตกจึงเป็นวัดที่คึกคักมาก 
     เพราะหลวงพ่อทาเป็นพระมีชื่อเสียงนี่แหละ หลวงพ่อแช่มจึงติดตามไปอยู่วัดพะเนียงแตก  รับใช้ปรนนิบัติอุปัชฌาชย์ มุ่งหวังเพื่อจะร่ำเรียนธรรมะปฎิบัติกับท่าน และอยากมีคาถาอาคมจากท่านด้วย 
      แต่การจะได้เล่าเรียนนั้น ก็ต้องใช้ความอุตสาหะพากเพียรอย่างสูง ต้องเป็นคนมีความอดทน อดกลั้นอย่างยิ่ง  ยอมรับใช้ปรนนิบัติอาจารย์ทุกอย่าง ยิ่งกว่าลูกปฎิบัติต่อพ่อแม่ ต้องยอมทนคำดุด่าว่ากล่าวของอาจารย์ ไม่ย่อท้อ เบื่อหน่ายท้อถอยให้ท่านรักใคร่ไว้ใจจริงๆว่า เป็นคนอดทนซื่อสัตย์กตัญญู ไม่ลบหลู่คุณครูอาจารย์ นั่นแหละท่านจึงจะยอมสอนวิชาให้
     หลวงพ่อแช่ม เกิดมาเป็นลูกคนจน เคยลำบากมาทุกอย่าง เคยนอนแคร่ ตากยุงใต้ถุนบ้าน เคยเป็นเด็กเลี้ยงควายอยู่ชายทุ่ง  เคยแม้กระทั่งขอทานเขา  เมื่อมาบวชกับหลวงพ่อทา จีงทำได้ทุกอย่างที่จะปรนนิบัติท่านได้ ด้วยตั้งใจแน่วแน่ว่าจะขอเรียนวิชาการทุกอย่างจากหลวงพ่อทา  จึงคอยรับใช้ใกล้ชิด ปรนนิบัติวัฎฐากทุกอย่าง  สิ่งใดเห็ฯว่าควรทำจะทำทุกอย่าง ไม่ต้องบอกไม่ต้องออกปากใช้   การปรนนิบัตินี้ยิ่งกว่าที่เคยปรนนิบัติกับใครๆ แม้แต่กับพ่อแม่ก็ไม่เคยทำให้ เริ่มต้ังแต่ตื่นแต่ย่ำรุ่งก่อนตีสี่ติดไฟต้มน้ำร้อน  เตรียมชงน้ำชาไว้ก่อนท่านอาจารย์จะตื่น   พอตืนขึ้นก็จัดขันน้ำวางเตรียมไว้ให้ท่าน  พอสายไปบิณฑบาต เห็นมีสิ่งใดเป็นอาหารดี อาหารแปลก จะต้องนำมาถวายอาจารย์ทุกวัน สังเกตุดูว่าท่านชอบฉันอะไร ก็จดจำไว้ เมื่อได้อาหารนั้นมาก็ถวายอาจารย์หมด ยอมอดไม่ฉันสิ่งน้ัน  เมื่ออาจารย์ป่วยจะเอาใจใส่ดูแลต้มข้าวต้ม หาอาหารมาให้ฉัน จำวัดตอนบ่ายก็จะคอยพัดวีมิให้ยุงมารบกวน จะคอยรับใช้ใกล้ชิดไม่ให้ต้องเรียกหา  
     ตกค่ำ ก็ต้องเตรียมต้มน้ำ ชงน้ำชาไว้ให้อาจารย์อีก   พระอาจารย์ก็จะอบรมสั่งสอนข้อปฎิบัติต่างๆ อาจารย์หมั่นสอนให้พิจารณาเนืองนิตย์ว่า กายนี้เป็นทุกข์ ไม่เที่ยงและไม่ใช่ตัวตนของเรา กายนี้มีความหิวโหย เหน็ดเหนื่อย ป่วยไข้อยู่เป็นประจำ ทุกสังขาร ร่างกายนี้ไม่เที่ยงแท้คงทนถาวร  อยู่เป็นเด็กแล้วก็เป็นหนุ่ม สาว แล้วก็แก่ชรา ผันแปรไปตลอดเวลา เรียกว่าความไม่เที่ยงแท้ กายนี้ในที่สุดก็จะถึงกาลดับสูญ แตกสลายไปในวันหนึ่งข้างหน้า เราจะต้องพลัดพรากจากคนที่เคยรักใคร่ เคยเห็นหน้ากัน  แล้วก็ทิ้งร่างกายของตนให้ไว้เน่าเปื่อย ผุพังไปเหลือแต่กระดูก  แม้กระดูก็ถูกเผาไหม้เป็นเถ้าถ่าน เป็นดินในที่สุด ชีวิตร่างกายเรานี้ เกิดขึ้นชั่วครู่ชั่วยาม แล้วก็แตกดับสลายไป หาแก่นสารอะไรมิได้  ให้พิจารณาเนืองๆว่า ผิวพรรณที่เคยเปล่งปลั่งก็เหี่ยวไป ผมที่เคยดกดำก็หงอก ฟันเคยสวยงามครบถ้วนก็หักหมดไป ให้ภาวนาอยู่เนืองๆว่า
     "เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ"  ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ย่อมเปลี่ยนแปรไปไม่คงที่ ทนถาวรอยู่ได้
     ให้พิจารณาให้เห็นภายในกาย  มองร่างกายที่มีผ้าแพรพรรณหุ้มห่ออยู่ให้ทะลุถึงเนื้อหนัง มองให้ทะลุถึงกระดูก เลือด เนื้อ เส้นเอ็น ตัว ไต ไส้พุ คูถมูตรที่หมักหมมอยู่ในกายเรานี้  ว่าไม่มีอะไรน่าชื่นชมยินดี  ล้วนแต่เน่าเหม็นผุพังทั้งสิ้น  อย่าไปคิดอยู่ที่ผิวพรรณเครื่องนุ่งห่มภายนอก ให้นั่งภาวนาหลับตามองเห็นภายในกายดังนี้ ให้นั่งภาวนาแยกแยะชำแหละร่างกายออกไปเป็นส่วนๆ ลอกหนังออกก่อนให้เหลือแต่เนื้อแดงๆ ชำแหละเนื้อออกให้เหลือแต่โครงกระดูก นั่งภาวนามองให้เห็นกระดูกผุพังลงจนเป็นขุยดิน  ถ้าจิตใจยังดื้อดึงแข็งกระด้าง ก็ให้ไปนั่งในป่าช้า  พิจารณาซากศพที่ตายใหม่และตายเก่า  และโครงกระดูกผีตาย  ท่านว่าเวลาบ้านไหนมีคนตาย มีญาติมานิมนต์ไปสวดหน้าศพ ก็จะไปสวดให้จะได้บุญกุศลแก่เรา  เราเองก็จะต้องตายเช่นนี้ ความตายเป็นความโศกเศร้า เป็นการจากกันชั่วชีวิต ทรัพย์สมบัติ ลูกเมีย ไร่นา บ้านเรือน แก้วแหวนเงินทองมันเป็นแต่ของประดับโลก ไม่ใช่ทรัพย์สมบัติของใคร  คนตายก็ตายไปแต่ตัว สิ่งที่ติดตามตนไปเป็นเสบียงในภพหน้า คือบุญกุศลเท่านั้น  เพราะฉนั้นอย่าหลงใหลได้ปลื้มในทรัพย์สมบัติ ลูกเมีย เหล่านี้  คนที่มีโอกาสได้บวชเรียนนั้นเท่ากับได้เกิดมาสร้างกองบุญกองกุศลไว้ 
     เวลาฉันอาหารหน้าศพน้ัน ถึงจะมีกลิ่นเหม็นเพียงไร ก็ให้อดกลั้น ตั้งใจฉันเหมือนปกติ จะได้ปลงธรรมสังเวชไปด้วยว่า อาหารที่เราฉันนี้ ก็เพื่อจะยังอัตภาพให้เป็นไปเท่านั้น  มิได้ฉันเพื่อเห็นแก่รสอร่อย หลงเพลิดเพลินในรสอาหารนั้น  การฉันอาหารหน้าศพจึงได้บุญกุศล เพราะเท่ากับว่าได้พิจารณาถึงชีวิตและความเป็นจริง
     สมัยก่อน โลงศพไม่ได้หาจากร้านที่ต่อเสร็จเรียบร้อยเหมือนปัจจุบัน  โลงศพน้ันใช้ไม้กระดานมาต่อกัน พอใส่ศพได้ รอยต่อก็ไม่สนิทเพราะฉนั้นจึงส่งกลิ่นเหม็นคละคุ้งไปทั่วบริเวณ  พระบวชใหม่ไม่ใคร่จะมีใครอยากไปสวดและฉันอาหารหน้าศพเลย แต่หลวงพ่อท่านบังคับให้ทุกองค์หมุนเวียนกันไป  เพื่อจะได้ปลงธรรมสังเวช และฝึกกรรมฐาน  ให้เตรียมตัวเตรียมใจไว้ในชีวิตว่าคนจะได้พบความตายในที่สุด
     หลวงพ่อแช่มดูแลปรนนิบัติหลวงพ่อทาจนถึงพรรษา ๒ พรรษา ๓ ท่านจึงเกิดความเมตตาสอนคาถาอาคมให้ ก่อนสอนท่านให้ตั้งสัตย์ปฎิญาณว่าอย่างแข็งแรงว่า จะอยู่ในศีลในสัตย์ ปฎิบัติตามคำครูอาจารย์ แล้วท่านก็บอกปากเปล่าให้ท่องหัวใจพระคาถา ให้หัดนั่งภาวนา ปฎิบัติทางจิต  ประจุฤทธิพลังจิตลงให้ได้ผล  สอนอุปเทห์เคล็ดลับต่างๆให้ และให้หมั่นึกฝนจนมั่นใจ ท้ายที่สุดจึงทำพิธีครอบประสิทธิ์ประสาทวิชาให้ การเรียนวิชาอาคมนี้ มิใช่ว่า อ่านหนังสือได้ท่องคาถาได้ แล้วก็ใช้ได้ผล  จะต้องเรียนโดยมีครูอาจารย์ 
     หลวงพ่อแช่ม กล่าวว่า  ทุกสิ่งในโลกนี้สำเร็จด้วยธาตุ ๔ คือ ดิน  น้ำ ลม ไฟ คาถาต่างๆ ต้องใส่ธาตุทั้ง ๔ ด้วย จึงจะประสิทธิ์ผล ถามว่า ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ เอามาผสมกันอย่างไร ท่านว่า นะ มะ พะ ทะ เช่น คาถานะเมตตา โมกรุณา พุทธปราณี ยินดี ยะ เอ็นดู ต้องประจุฤทธิ์ด้วย นะ มะ พะ ทะ ให้ ดิน น้ำ ลม ไฟเป็นสื่อพาไปจึงจะได้ผล  
     หลวงพ่อแช่ม เฝ้าปรนนิบัติวัฎฐากอาจารย์อยู่เป็นเวลานาน ๓ พรรษา จึงได้รับถ่ายทอดวิชาอาคมจากอาจารย์สมปรารถนา 
     ลูกศิษยหลวงพ่อทา  รุ่นหลังหลวงพ่อแช่มอีกองค์คือ หลวงพ่อเต้ คงทอง วัดสามง่าม อำเภอดอนตูม จังหวัดนครปฐม บัดนี้ก็เป็นพระอาจารย์มีชื่อเสียงโด่งดัง  
(โปรดติดตามตอนต่อไป)